Friday, February 27, 2009

“ทำงานตามเงินเดือน”

เงินเดือน มีความหมายในหลาย ๆ มิติแตกต่างกันไปตามปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ
เงินเดือนควรจะเยอะหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสมควรของแต่ละคน แต่ละเวลาและแต่ละเงื่อนไข แตกต่างกันไป
ไม่มีใครสามารถบอกเงินเดือนที่สมควรสำหรับคุณได้อย่างแม่นยำ เพราะมันเป็นเรื่องของความพอใจและความเหมาะของคุณเอง คุณเองเท่านั้นที่จะรู้ถึงจุดสมควรตรงนั้นได้
ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถตอบคำถามให้กับน้องคนหนึ่งได้ว่า เธอสมควรจะเรียกเงินเดือนเท่าไรต่อการสมัครงานในตำแหน่งพีอาร์(จูเนียร์)ในบริษัทแห่งหนึ่ง คำแนะนำผมในตอนนั้นก็คือ ดูราคาตลาดทั่ว ๆ ไปเขาได้กันเท่าไรก็ตามนั้นไปก่อน เพราะการเข้าทำงานในครั้งแรกนั้น ความสำคัญไม่น่าจะอยู่ที่ตัวเลขเงินเดือน เราน่าจะมองที่โอกาสซึ่งเปิดให้เราพิสูจน์ตัวเองและโอกาสที่เราจะได้เข้าไปเรียนรู้งานในสนามจริง
บางคนก็แย้งว่าหากเราเริ่มงานที่เงินเดือนต่ำการที่บริษัทจะเพิ่มเงินเดือนให้ในเวลาต่อมานั้น แม้จะขึ้นแต่ก็อยู่ในอัตราที่ช้ามาก ทำให้บางคนเมื่อทำงานไปสักพักจนเชี่ยวชาญพอสมควรก็มักจะออกไปสมัครงานที่อื่น เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะอัพเงินเดือนได้ในอัตราที่ทันใจ
เมื่อพูดถึงเรื่องเงินเดือนจึงมีเรื่องที่ต้องช่วยกันคิดมากมายหลายมุม แต่วันนี้ว่าจะมาชวนพวกเราเหล่ามนุษย์เงินเดือนมาช่วยกันคิดหน่อยว่า เราควรจะ
“ทำงานตามเงินเดือนที่ได้รับ” หรือ “ทำงานเกินเงินเดือนที่ได้รับ”

“ก็ได้เงินเดือนเท่านี้ ก็ทำเท่านี้แหละ” ประโยคที่ผมมักจะได้ยินน้อง ๆ และเพื่อนฝูงบางคนพูดกันบ่อย ๆ ได้เงินน้อย ก็ทำงานให้น้อยตามเงิน ดูเหมือนจะยุติธรรมดีแล้ว แต่คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมเงินถึงน้อย แล้วเมื่อคุณไม่พอใจจำนวนเงิน ทำไมถึงยอมตกลงทำงานให้กับเขาตั้งแต่แรก ทำไมไม่เจรจาเพื่อให้ได้เงินตามที่คุณต้องการ

“อ้าว ก็เมื่อสักครุ๋พี่ยังบอกให้ผมมองที่โอกาสนี่นา เงินเท่าไรไม่ใช่เรื่องใหญ่ในตอนเริ่มต้น แล้วตอนนี้จะมาบอกว่า ผมไปยอมเขาได้ยังไง”

“ก็ใช่ครับ ยอมรับเงินที่พอประมาณ (แม้ส่วนใหญ่คงรู้สึกว่ามันน้อย) แต่อย่างที่บอกไว้ให้จ้องไปที่โอกาสที่จะได้โชว์ฝีมือมากกว่า”

และเมื่อมีโอกาส การทำงานโดยยึดคติที่ว่า ทำงานตามเงินเดือน มันจึงเหมือนตัดโอกาสก้าวหน้าของตัวเอง ด้วยคำพูดประโยคนั้น มันเหมือนกับว่าคุณกำลังจะทำให้ทั้งคุณและบริษัทที่คุณทำงานด้วยจะไม่ก้าวหน้าไปไหน เสียหายทั้งสองฝ่าย

เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกว่าเรากำลังมีความรู้สึกว่า ทำงานตามเงินเดือน ผมรู้สึกว่ากำลังมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ควรที่จะต้องมีการจัดการอะไรสักอย่างเพื่อกำจัดความคิดแบบนั้นออกไปให้เร็วที่สุด
แล้วจะทำอย่างไรได้บ้าง

ถ้าเป็นผม ผมจะกลับมาสำรวจตัวเองก่อนว่า เราสมควรหรือยังที่จะได้รับค่าตอบแทน
มากกว่าที่กำลังได้รับอยู่ ฝีมือเราพัฒนาไปไกลกว่าเดิม ความสามารถเราตอนนี้เหนือกว่าเมื่อก่อนเยอะ
และนายจ้างเราเขาเห็นหรือเปล่า เพื่อให้แน่ใจว่านายจ้างเราเขารู้และเห็นพัฒนาการของเราหรือยัง ไม่มีวิธีใดที่จะชัดเจนเท่ากับการนั่งลงคุยกับเขา ถามเขาเลยว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ คิดว่าเรามีความสามารถที่จะช่วยบริษัทได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ เรามีประโยชน์ต่อองค์กรหรือไม่ การขอเพิ่มเงินเดือนอาจจะใช้วิธีขอรับผิดชอบงานในตำแหน่งที่สูงขึ้นไปก็ได้ เมื่อตำแหน่งสูงขึ้นต้องรับผิดชอบมากขึ้นก็เป็นเหตุเป็นผลที่จะได้รับเงินเพิ่มขึ้น
จะดีมากหากเรานำเสนอเขาเลยว่าให้เรารับผิดชอบตรงนั้นตรงนี้เพิ่มขึ้นน่าจะดีต่อองค์กร ผมหมายถึง นอกจากการจ้องจะขอเงินขึ้นเพียงอย่างเดียว ลองคิดวิธีที่เราจะเข้าไปช่วยทำ ช่วยสร้าง ช่วยเพิ่ม ตรงส่วนไหนได้อีกเพื่อให้องค์กรก้าวหน้าต่อไป บางทีไอเดียเราอาจจะไปปิ๊งเจ้านายเข้าโดยที่เขาอาจจะไม่เคยคิดไม่เคยมองเลยก็ได้ ในมุมของเจ้านายเขาก็จะเห็นว่าเรามีใจให้กับบริษัทจริง ๆ ไม่ใช่จ้องจะขอขึ้นแต่เงินเดือนโดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าจะทำอะไรให้บริษัทดีขึ้นบ้าง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมขอยกตัวอย่างเรื่องของตัวเองเป็นประสบการณ์ที่พบมาเมื่อหลายปีมาแล้ว
ผมเริ่มงานเป็น copywriter ในบริษัทโฆษณาทำไป 6 ปีตำแหน่งสุดท้ายคือ creative group head จากนั้น แกรมมีก็มาชวนไปทำงานในตำแหน่ง creative อีกนั่นแหละ ดูเหมือนผมน่าจะสบายใจเพราะงานที่จะไปทำมันก็เหมือนงานที่เคยทำ แต่ผมไม่ได้คิด
แบบนั้น ผมเห็นว่ามันแค่คล้าย ๆ กัน เพราะสินค้าเดิม ๆ ที่ผมทำนั้นมันไม่มีชีวิต มันเป็นสิ่งของ เป็นสบู่ ยาสีฟัน เป็นรถยนต์ แต่ที่แกรมมีผมไปทำครีเอทีฟก็จริงแต่สินค้ามันไม่ใช่สิ่งของมันเป็นคนและเป็นเพลง มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย เรื่องนี้ทำให้ผมไม่ค่อยมั่นใจตัวเองว่าจะไปทำได้ดีหรือไม่ แต่ใจนั้นอยากไปทำมาก ๆ เพราะ 9 ปีกับงานโฆษณามันเริ่มสร้างความตื่นเต้นและตื่นตัวให้ผมน้อยลงทุกวัน และอีกอย่างก็อยากได้เงินเพิ่มขึ้นด้วย แต่ด้วยความไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีผมจึงไม่ได้เรียกร้องเงินจากแกรมมีสูงมากนัก หากจำไม่ผิดผมขอเงินเพิ่มจากเดิมที่เคยได้รับเพียงสี่ห้าพันบาทเอง และผมก็บอกความคิดผมให้กับนายจ้างรับรู้ คือด้วยความที่ผมยังไม่มั่นใจตัวเองว่าจะทำได้ดี(แม้ว่านายจ้างดูจะมั่นใจมาก)ผมจึงขอเงินค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นจากที่เดิมเพียงนิดหน่อย แต่หากทำไปแล้วผมสามารถทำได้ดี ผมขอคุยเรื่องเงินอีกทีภายหลังนะ ซึ่งก็ตกลงตามนั้น
เมื่อเริ่มงานจะด้วยความชอบ ความตื่นเต้น หรืออะไรก็ตาม ผมทำได้ดี อัลบั้มแรกที่ดูแลประสบความสำเร็จอย่างดี เมื่อมีโอกาสผมก็คุยกับเจ้านายเกี่ยวกับเรื่องเงิน แล้วผมก็ได้รับมันมากเกินกว่าที่ตัวผมเองคาดหมายไว้ซะอีก
ผมจึงไม่เห็นด้วยจริง ๆ สำหรับคนที่กำลังทำงานตามเงินเดือน มันเสียเวลาครับ

ถ้าเป็นคุณล่ะ
pom_goodbooks@hotmail.com

1 comment:

ควันธูป said...

พอดีึ่พึ่งได้หลงมาอ่าน รู้สึกเห็นด้วยกับเรื่องแบบนี้นะครับ
ตอนนี้ผมพึ่งทำงานประจำที่แรก (ก่อนหน้านั้นเป็นผู้ช่วยวิทยากรแบบ ฟรีแลนซ์) รับหน้าที่ในตำแหน่ง Creative ในบ.ออแกไนซ์เซอร์ คิดโปรเจค รูปแบบงาน และเขียนพร้อมพรีเซนต์ผลงาน ผมขอเงินเดือนไป 10000 เดียว แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้มองที่ตัวเงินนั่นเลย ผมกลับมาว่าเงินเดือนนี้มันแค่ช่วยประทังให้ผมมีชีวิต แต่ตัวงานที่ผมได้ทำ และพอร์ตที่ผมจะได้ชื่อว่าเป็นคนคิดงานนี้เอง มันกำลังจะเกิดขึ้นและน่าจะได้เงินเดือนเยอะขึ้นที่บริษัทอื่น (รึเปล่า?) ในขณะที่คนอื่นที่คิดว่าจะขยันทำไปทำไม? เงินเดือนก็ได้เท่าเิดิม หรือทำไปเจ้าของก็รวยขึ้น ผมก็ว่าไม่จริงหรอกครับถ้าเราเก่งขึ้นเราก็จะมีเงินมากขึ้นได้เช่นกัน

ปล.ถึงพี่เจ้าของกระทู้นะครับ เป็น creative ใน gmm ต้องทำอะไรบ้างและต้องการคนแบบไหน แนวทางไหนหรือครับ ผมเองก็อยากก้าวเป็น creative ในแวววงที่ดูมั่นคงอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่เป็นการรบกวน add mail ติดต่อหน่อยนะครับ bee_inthemoon@hotmail.com
บีครับ creative จบใหม่