Sunday, February 19, 2006

ผิดที่ ผิดทาง



วันนี้ผมได้รับฟอร์เวิร์ดเมลจากเพื่อน ๆ ที่อยู่ในลิสต์ของผม เมื่อเปิดอ่านดู เป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะตลกแต่ก็ให้ข้อคิดที่ดีทีเดียว เมลชิ้นนี้ถูกส่งมาในรูปของโปรแกรมเพาเวอร์พอยต์ เป็นเรื่องของอูฐแม่ลูกคุยกัน เจ้าอูฐตัวลูกมีความสงสัยในร่างกายของตัวเอง จึงเอ่ยปากถามอูฐผู้แม่เป็นข้อ ๆ เริ่มต้นจาก “แม่ครับ ทำไมเราต้องมีหนอกบนหลังด้วย” แม่ก็ตอบลูกชายว่า “เพราะเราต้องอยู่ในทะเลทราย จำเป็นที่จะต้องมีที่เก็บสำรองน้ำไว้”
“แล้วทำไมขาของเราจึงยาวและเท้ากลมแบบนี้ล่ะฮะ” ลูกอูฐยิงคำถามต่อ
“ก็เพราะเราต้องเดินบนทรายที่ร้อนระอุน่ะลูก ด้วยขาที่ยาวและเท้าที่กลมนี่จะช่วยให้เดินในทะเลทรายได้ดีกว่า”
“แล้วขนตาที่ยาวผิดปกตินี่ล่ะครับ”
“ก็เพื่อที่จะป้องกันลม ทราย แสงแดด ในทะเลทรายยังไงล่ะจ๊ะลูก” แม่ตอบด้วยความเอ็นดู
เมื่อผมคลิกเปลี่ยนหน้าต่อไป ผมก็อดขำและอดคิดไม่ได้ ต่อคำถามสุดท้ายของเจ้าอูฐตัวลูก
“ผมเข้าใจแล้ว ..คำถามสุดท้ายนะครับแม่ แล้วเรามาทำ”...”อะไรในสวนสัตว์แห่งนี้”
ภาพซูมออกเห็นแม่ลูกคู่นี้ยืนคุยกันอยู่ในกรงภายในสวนสัตว์
ปิดท้ายด้วยประโยคนี้ครับ Skills ,Knowledge ,Abilities and Experiences are only useful if you are at the right place.
จบด้วยคำถามที่ว่า Where are you now?
ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์คงไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากมันอยู่ผิดที่ผิดทาง คนที่พูดเก่งคงไม่ได้ใช้พรสวรรค์ในส่วนนั้นของเขาเท่าไรหากต้องไปทำบัญชี คนที่มีพรสวรรค์ในการเขียนเพลง หากเจ้าตัวไม่รู้ตัวเองหรือบางทีรู้แต่ไม่มีโอกาสหรือรู้แต่ไม่กล้าแสดงออก แล้วหันไปทำอย่างอื่น นั่นอาจเท่ากับปิดโอกาสตัวเอง และก็เป็นได้แค่คนทำงานทั่ว ๆ ไป ไม่สามารถสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับตัวเองหรือให้กับองค์กรอีกด้วย เรียกว่าเสียเวลาทั้งกับตัวเองและผู้อื่น
หากเอ่ยชื่อ เจอร์รี กอฟฟิ่น (Gerry Goffin) นักแต่งเพลงชื่อดังหลายคนอาจจะฟังไม่คุ้นชื่อ แต่หากพูดถึงเพลงเหล่านี้เช่น “The Locomotion” “ Up on the Roof “ “One Fine Day “ “Chains “ “Natural Woman ““ Saving all my love for you” “ Will You Love Me Tomorrow” หลายคนน่าจะคุ้นขึ้นมาบ้าง เจอร์รี่เป็นนักเขียนเพลง เขาหลงใหลในการเขียนเพลงตั้งแต่เรียนอยู่ที่ควีนส์ คอลเลจ ในปี 1958 ซึ่งเขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งต่อมากลายมาเป็นคู่ขาในการแต่งเพลงและคู่ชีวิตในเวลาต่อมาเธอคือคาโรว์ คิง (Carol King) เมื่อเริ่มออกเดทกัน ทั้งคู่พบว่าเปียโนนั้นน่าสนใจและน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการไปดูหนังเสียอีก จากนั้นก็เริ่มแต่งเพลงด้วยกัน


เจอร์รี่ เขียนเนื้อเพลงมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบแต่ก็ไม่เคยพบคู่หูที่เขารู้สึกดีสักคนจนกระทั่งมาพบ
คาโรว์ ทั้งสองแต่งงานกันในปี 1959 ใช้เวลากลางวันทำงานประจำเพื่อที่จะได้แต่งเพลงต่อไปได้
เจอรี่กับคาโรว์ยังคงรักที่จะแต่งเพลงแม้ในวันนั้นมันจะไม่มีอะไรยืนยันถึงความมั่นคงในอาชีพนี้เลย
“คาโรล มีขีดความสามารถสูงมากในการแต่งทำนองที่ยอดเยี่ยม เธอลึกซึ้งเรื่องโครงสร้างของคอร์ดมาก ทุกเพลงที่เธอแต่ง เธอจะไม่มีวันที่จะใช้โครงสร้างของคอร์ดแบบทั่ว ๆ ไป ถือเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผมที่ได้ร่วมงานกับเธอ เธอเรียนเพื่อที่จะไปเป็นครู ส่วนผมเรียนเพื่อที่จะเป็นนักเคมี และผมคิดว่าเราทำมันออกมาได้ดีทีเดียวล่ะ(หัวเราะ)พ่อแม่ของคาโรลไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับอาชีพเขียนเพลง พ่อของผมสนับสนุนแต่แม่ของผมไม่เห็นด้วย แม่ว่าผมจะบ้าไปแล้วเหรอ นั่นเพราะคะแนนเรียนของผมร่วงหมดอย่างไม่เป็นท่า” เจอรี่รำลึกถึงวันเก่า ๆ
“ผมจำได้ผมบอกกับแม่ว่า ผมสามารถจัดการทุกอย่างได้ ผมสามารถทำทั้งสองอย่างให้ดีพร้อม ๆกันได้ คาโรลช่วยติวผมทั้งวันแต่ผลสอบของเธอเองกลับร่วง”(หัวเราะ)
จนกระทั่งอายุ 32 ปีเจอร์รี่ก็ยังสงสัยอยู่ว่าไอ้อาชีพเขียนเพลงนี่มันจะเหมาะสำหรับใครสักคนได้จริง ๆ ล่ะหรือ เขากลับไปเรียนและทำงานเป็นนักเคมีรับเงิน 11,000 เหรียญต่อปี แต่ในที่สุดเขาก็บอกกับตัวเองว่า “นั่นมันไม่ใช่ตัวเขา” แล้วก็หันกลับไปเขียนเพลง
“ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับไอ้หลอดทดลองพวกนี้อีกต่อไปแล้ว”
จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มแต่งเพลงร่วมกันอย่างจริงจังเริ่มต้นจาก 150 เพลงที่จัดว่าเป็นเพลงที่แย่มาก ๆ จนทั้งคู่ได้เพลงฮิตเพลงแรกมานั่นคือเพลง “Will You Love Me Tomorrow?” ซึ่งขับร้องและบันทึกเสียงครั้งแรกโดย The Shirrelles ในปี 1961 ขึ้นถึงอันดับ 1 ในอเมริกา และอันดับ 4 ในอังกฤษ กอฟฟินและคิง กลายมาเป็นคู่นักแต่งเพลงที่แต่งเพลงฮิตติดต่อกันตั้งแต่วันนั้น เป็นคู่ที่ทุกคนใผ่ฝัน แม้ในวันที่พอล แมคคาร์ทนี่และจอห์น เลนนอน เริ่มต้นที่จะเขียนเพลงร่วมกัน พวกเขาบอกว่าอยากที่จะเป็นเช่นกอฟฟิ่นและคิง

เศรษฐสิทธิ์ บุลเสฏฐ์
sedthasit@msn.com