Friday, December 23, 2005

เพลงเศร้าที่สุดในโลก (1)


ว่ากันว่า “ภาษา” นับเป็นมรดกล้ำค่าที่สุดของมวลมนุษย์ชาติ ด้วย”ภาษา”นี่แหละที่ทำให้มนุษย์เราครองโลกมาได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะเราสามารถที่จะสื่อสารและเข้าใจกันและกันได้ ซึ่งนั่นทำให้เรานั้นอยู่เหนือกว่าเหล่าสรรพสัตว์ทั้งมวล เมื่อสามารถสื่อสารทำความเข้าใจกันได้จึงเกิดเป็นสังคมและการอยู่ร่วมกัน ในแต่ละวันเรารับข้อมูล จากคนอื่น ๆ และจากสังคม ในเวลาเดียวกันเราก็ส่งข้อมูลไปสู่คนอื่น ๆ และสู่สังคม ข้อมูลที่รับเข้าและส่งออกทุกวันนี้กระมังที่ทำให้เราฉลาดขึ้น รอบรู้มากขึ้น บางเรื่องที่เราไม่รู้และอยากรู้เราก็ถามไถ่ ค้นหาเอาจากคนอื่นหรือจากสังคมได้ บางครั้ง บางเรื่องที่เรารู้ เราก็ส่งต่อให้คนอื่น ๆ
เมื่อมนุษย์สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ สิ่งที่ตามมาก็คือการสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นในสังคม ในโลก สร้างกันต่อเนื่องมาหลายพันปี จนบัดนี้เรามีผลงานมากมายที่เกิดขึ้นมาจากภูมิปัญญาของมนุษย์ และยังคงเดินหน้าคิดค้นและสร้างสรรค์กันต่อไป ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเทคโนโลยี วิศวกรรม เกษตรกรรม รวมไปถึงงานด้านศิลปะบันเทิง เมื่อมีมาก ๆ เข้า เราก็เริ่มมีการจัดอันดับ”ที่สุด” กัน และผู้ที่ดูแลเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจังคอยติดตามค้นหาและบันทึกไว้เป็นหลักฐานที่เรารู้จักกันดีก็คือ กินเนส เราอยากรู้ว่าภูเขาสูงที่สุดในโลกคือภูเขาอะไร เราอยากรู้ว่าประเทศที่เล็กที่สุดในโลกคือประเทศอะไรก็สามารถรู้ได้ เรารู้ว่าประเทศที่ประชาชนมีเซ็กส์กันถี่ที่สุดก็คือฝรั่งเศส เรารู้ว่าคนที่สูงที่สุดในโลกคือใคร ผมเองในช่วงก่อนวันคริสต์มาสที่ผ่านมา ผมลองโฉบเข้าไปในเว็บไซด์ของกินเนสแล้วก็คลิกเข้าไปดูอันดับ”ที่สุด”ในส่วนของเพลงและก็เลือกข้อมูลบางอย่างที่ตัวเองชอบมาฝาก คิดเสียว่ามาเล่าให้ฟังสนุก ๆ ครับ เพลงคริสต์มาสที่ขายมากที่สุดในโลกคือเพลง”White Christmas” ขับร้องโดยบิง ครอสบี้(Bing Crosby)บันทึกเสียงในปี 2485 ตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมาเพลงนี้จะถูกนำออกมาผลิตออกจำหน่ายทุกปี จนถึงวันนี้ขายไปแล้วกว่า 100 ล้านก็อปปี้
“ที่สุด”ต่อมาก็คือเพลงที่ใช้เวลาน้อยที่สุดในการบันทึกเสียงจนออกจำหน่าย นั่นคือบันทึกการแสดงสดในเพลง “Sgt. Peper’s Lonely Hearts Club Band” โดยพอล แม็คคาร์ทนีและวงU2 บนเวทีคอนเสิร์ต Live 8 เมื่อ 2 กรกฎาคม 2548 ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาทั้งหมด 44 นาที 39 วินาที ตั้งแต่เริ่มบันทึกเสียงจนกระทั่งให้บริการดาวน์โหลดเพื่อจำหน่ายทางอินเตอร์เน็ต
“ที่สุด”ต่อมาคือฟรีคอนเสิร์ตที่มีคนดูมากที่สุดเป็น คอนเสิร์ตของร็อด สจวต แสดงที่ชายหาด
โคปาคาบานา ในเมืองริโอ เดอจาเนโร ประเทศบราซิล เย็นย่ำของวันขึ้นปีใหม่ในปี 2537
คนดูทั้งสิ้นในวันนั้น 3.5 ล้านคน
เพลงที่ถูกนำไปบันทึกเสียงในเวอร์ชั่นต่าง ๆ มากที่สุดคือเพลง Yesterday ซึ่งแต่งโดยพอล แม็คคาร์ทนี และ จอห์น เลนนอน นับตั้งแต่ปี 2508 ซึ่งเพลงได้ถูกแต่งขึ้นมาจนถึงปี 2529 เพลงนี้ได้ถูกบันทึกเสียงโดยนักร้องต่าง ๆ ไปแล้วกว่า 1,600 เวอร์ชั่น
ข้อมูลสุดท้ายที่เอามาฝากวันนี้ก็คือ อัลบั้มที่มีชื่อยาวที่สุดในโลก ยาวถึง 90 คำ เป็นอัลบั้มของนักร้องสาวชาวนิวยอร์คเกอร์ Fiona Apple อัลบั้มนี้วางจำหน่ายเมื่อ 9 พ.ย. 2542 อัลบั้มนี้มีชื่อว่า
When The Pawn Hits The Conflicts He Thinks Like A King What He Knows Throws The Blows When He Goes To The Fight And He'll Win The Whole Thing Fore He Enters The Ring There's No Baby To Batter When Your Mind is Your Might So When You Go Solo. You Hold Your Own Hand And Remember That Depth Is The Greatest Of Heights And If You Know Where You Stand. Then You'll Know Where To Land And If You Fall It Won't Matter, Cuz You Know That You're Right

อย่างไรก็ตามการวัด”ที่สุด”ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน เพราะเรายังต้องใช้ตัวเลขเป็นตัวชี้ชัด แล้วถ้ากรณีที่ไม่สามารถวัดด้วยตัวเลข เราจะรู้ได้ถึงความเป็น”ที่สุด”ในเรื่องบางเรื่องได้ล่ะหรือ เช่นผมลองถามตัวเองว่า คนดีที่สุดในโลกคือใคร หรือ เพลงที่เศร้าที่สุดในโลกนี้คือเพลงอะไร แน่นอนผมไม่สามารถหาคำตอบได้ในกินเนส เพราะเรื่องนี้ต้องใช้อารมณ์และความรู้สึกเป็นตัวชี้ แต่หลังจากพยายามที่จะหาคำตอบให้ได้ ผมก็เจอเพลง ๆ หนึ่ง จะนำมาเล่าคราวหน้านะครับ ก่อนจะถึงวันนั้นท่านผู้อ่านลองคิดเล่น ๆ ดูทีครับว่าเพลง ๆ นั้นคือเพลงอะไร

Thursday, December 22, 2005

เพลงรักทำให้เราตาสว่าง



แม้ชื่อภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มนี้ The Art of writing Love songs จะว่าด้วยการเขียนเพลงรัก หากแต่ว่าเนื้อหาภายในเล่มกลับว่าด้วยเรื่องความรักที่น่าสนใจในรูปแบบต่างๆ ด้วยที่ผู้เขียนมีความเชื่อว่า การจะเขียนเพลงรักให้ได้ดีนั้น จำต้องเรียนและรู้จักความรักทุกรูปแบบ ทุกแง่มุมเสียก่อน จึงจะสามารถสร้างเพลงรักที่ซาบซึ้งและเข้าถึงหัวใจผู้ฟังได้ แม้ว่าการยกตัวอย่างเพลงในหนังสือเล่มนี้จะเป็นเพลงภาษาอังกฤษแต่
คุณเมฆฝน ผู้รับภาระถอดความก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างแนบเนียน แต่ประเด็นสำคัญของหนังสือกลับไม่ได้อยู่ตรงนั้น หนังสือเล่มนี้ไม่ได้พยายามสอนให้คุณเขียนเพลงจากภาษาอังกฤษ หากแต่เป็น มุมมอง วิธีคิด วิธีหาข้อมูลที่จะนำมาเขียนเพลงต่างหาก ที่เป็นประเด็น เพลงภาษาอังกฤษที่ยกตัวอย่างมานั้นก็เพื่อช่วยทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นเท่านั้น หากคุณเป็นนักเขียนเพลงอยู่แล้ว หรือหากกำลังอยากจะหัดเขียนเพลง หนังสือเล่มนี้น่าจะช่วยให้คุณเข้าใจ”ความรัก” ได้มากยิ่งขึ้น และน่าที่จะช่วยให้คุณเขียนเพลงรักที่จับใจใครต่อใครได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นนักแต่งเพลง ไม่ได้อยากเป็นนักแต่งเพลง หนังสือเล่มนี้ก็ยังอ่านสนุกอยู่ดี
เราทุกคนคงเคยรู้จักความรักกันมา มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่โอกาส ทุกคนคงเคยถูกเจ้าความรักนี้ ”กระทำ”
ไม่ว่าจะ “กระทำดี” หรือว่า “กระทำร้าย” เราได้พบกับความรู้สึกมากมายทั้งสุข เศร้า เซ็ง ตื่นเต้น ผิดหวัง สมหวัง
เริงร่า กินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรือกินไม่อั้น ฝันดีทั้งคืน ไม่น่าเชื่อว่า เจ้าความรักตัวนี้จะมีอิทธิพลต่อชีวิตเราได้มากมายขนาดนั้น เพลงรัก ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เป็นเครื่องปลอบประโลมใจในยามที่รู้สึกเจ็บจากความรัก(เพลงรักที่โด่งดังมักจะทำหน้าที่นี้ ส่วนเพลงรักที่แสดงความยินดีในยามรักสมหวังมักจะประสบความสำเร็จน้อยกว่า)
ทุกครั้งที่เจ็บปวดมาจากความรัก มนุษย์เยียวยาตัวเองด้วยเพลงรัก
เช่นนี้อาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าความรักทำให้คนตาบอด เพลงรักน่าจะช่วยให้คนเราตาสว่างขึ้น และนี่คือที่มาของ “เพลงรักทำให้เราตาสว่าง” เล่มนี้

คำนิยมโดยบอยตรัย
ว่ากันว่า ความรักจะทำให้คนตาบอด
คนเขียนเพลงรัก อาจจะต้องข่มตาให้บอดอยู่บ่อยๆ บอดเพราะเราอาจจะไม่รู้จักมันเพียงพอ และในความบอดมืดนั้นบางคนจึงต้องคลำหาเทียนเพื่อเอาไว้ไปนั่งเขียน แต่ใครจะรู้ หนทางสู่ความเข้าใจในความรักนั้น อาจจะไม่ใช่ในโลกมืดมิดข้างนอกนั้นหรอก เพียงแค่กลับเข้ามาค้นหาภายในจิตใจของตัวเอง ลองทำความรู้จักพื้นฐานของจิตใจและความต้องการของเราในหลายๆ แง่มุมดูบ้าง บางครั้งก็อาจจะเกิดมุมมองในความรักที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนวิธีการเขียนเพลงรักอย่างสำเร็จรูป แต่เป็นคล้ายๆ จิตแพทย์ที่นั่งสอบถามนักแต่งเพลงอยู่ข้างๆ เตียง คอยจดว่าพวกเขาคิดอะไรและคิดอย่างไรในตอนที่แต่งเพลงเหล่านั้น โดยการรวบรวบเอาตัวอย่างของมุมมองของเพลงในหลายๆ แง่มุม ที่มาที่ไปของกระบวนการ และภาพที่อยู่ในหัวของนักแต่งเพลงออกมาให้เราเห็น

คำนิยมโดย วิภว์ บูรพาเดชะ
บรรณาธิการบริหาร HAMBURGER

ผมเคยมีประสบการณ์คลุกคลีกับการแต่งเพลงอยู่บ้าง จึงรู้สึกสนใจไม่น้อยเมื่อพี่ป้อม-บวรศักดิ์ จำปาวัลย์ ส่งต้นฉบับ "เพลงรักทำให้เราตาสว่าง" มาให้อ่าน
ในเบื้องแรกนั้นสนใจเพราะอยากรู้ว่า หนังสือที่เหมือนคู่มือสอนการแต่งเพลงรักเล่มนี้ จะสอนกลวิธีขั้นตอนในการแต่งเพลงที่เหมือนหรือต่างจากที่ผมเคยได้เรียนรู้และเคยได้ใช้มาหรือไม่
แต่เมื่ออ่านๆ ไป ผมกลับพบว่า "เพลงรักทำให้เราตาสว่าง" ไม่ได้พูดถึงการแต่งเพลงรักเสียทีเดียว
ระหว่างการเดินทางข้ามบรรทัดสู่อีกบรรทัด ผมกลับได้ทำความรู้จักกับวิธีการมองดูความรักในมุมมองที่ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน และแปลกใหม่ โดยวิธีการมองความรักดังกล่าวนั้น มีจุดประสงค์เพียงเพื่อจะทำให้เราสามารถแต่งเพลงรักได้ดีนั่นเอง
หนังสือเล่มนี้พาเราไปสำรวจความรักในแง่มุมต่างๆ พาเราไปตั้งคำถามและหาคำตอบของตัวเอง ชักชวนเราให้หันไปมองดูผู้คนด้วยมุมมองที่แปลกใหม่ และพาเราเดินมุ่งหน้าไปสู่โลกจินตนาการที่เราอาจไม่เคยคิดว่ามันมีอยู่จริง
ด้วยความที่บทเพลงทั้งหลายที่ใช้อ้างอิงเป็นเพลงสากล และเนื้อหาก็เน้นไปที่การเขียนเนื้อเพลงเสียมากกว่าการแต่งทำนอง ผมจึงไม่แน่ใจว่า หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบลงจะทำให้คุณเขียนเพลงรักแบบไทยๆ ในท้องตลาดได้หรือเปล่า แต่ในมุมกลับ ก็ต้องขอแสดงความนับถือกับผู้แปลที่พยายามถ่ายทอดภาษาต่างประเทศออกมาเป็นภาษาไทยได้กินใจขนาดนี้
ลองดูประโยคนี้อีกทีนะครับ "เพลงรักทำให้เราตาสว่าง" ฟังเผินๆ แล้วนี่อาจจะเป็นประโยคที่ฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลนัก แต่หากลองได้อ่านหนังสือเล่มนี้ดู แล้วลองเขียน 'เพลงรัก' ของคุณเองขึ้นมาสักเพลง คุณจะพบว่า 'เพลงรัก' ทำให้คุณ 'ตาสว่าง' ได้จริงๆ
และอาจทำให้คนที่คุณอยากบอกรัก 'ตาสว่าง' ได้ด้วยซ้ำ
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วครับ และผมกำลังจะเขียนเพลงรักอีกครั้ง

Friday, December 16, 2005

“โตขึ้นอยากเป็นอะไร”


“โตขึ้นอยากเป็นอะไร” คงไม่มีใครที่ไม่เคยโดนยิงคำถามนี้ในวัยเด็ก คุณจำได้หรือเปล่าว่า
ในวันนั้นคำตอบสำหรับคำถามนี้ คุณตอบไปว่าอย่างไร ในวัยเด็กคุณฝันอยากเป็นอะไร ครู พยาบาล นักบิน ดารา นักร้อง นายก ชาวสวน คนขับแท็กซี่ ไอ้มดแดง อุลตร้าแมน หรือซูเปอร์แมน ความฝันในวัยเด็ก บริสุทธิ์ ใสสะอาด คิดอย่างไร ชอบอย่างไรในตอนนั้นก็มักอยากจะเป็นอย่างนั้น แต่สำหรับผู้ปกครองเจ้าของคำถาม คำตอบคงแตกต่างออกไป คงไม่มีผู้ปกครองท่านใดที่อยากให้ลูกเป็นนักดนตรี หรืออยากให้ลูกเป็นคนขับแท็กซี่ แม้แต่ตัวเราเองเมื่อโตขึ้นก็คงไม่มีใครอยากขับแท็กซี่ แต่นักดนตรีบางทีก็ไม่แน่ เพราะวันนี้ก็ยอมรับกันมากขึ้นกว่าสมัยก่อน

“เรียนจบแล้วอยากทำงานอะไร” คือคำถามที่ตามมา ต่อจาก”โตขึ้นอยากเป็นอะไร” ในวัยที่ใช้ชีวิตที่มหาวิทยาลัย อันถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ทุกคนมีความฝัน ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็นสองแบบคือ เพ้อฝัน และ ใฝ่ฝัน พวกเพ้อฝันอาจจะอยากเป็นอะไรโดยที่ไม่เคยได้สำรวจตัวเอง หรือแม้กระทั่งอาจจะไม่รู้จักตัวเองเลยเสียด้วยซ้ำ หลายคนไม่รู้ตัวเองว่าชอบอะไร ถนัดอะไร เก่งอะไร เมื่อไม่รู้จักตัวเอง ก็ไม่สามารถตั้ง”เป้า” ให้ชีวิต ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาถึงการไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวหรือทำอย่างไรเพื่อให้ฝันนั้นเป็นจริง ฝันนั้นจึงเป็นได้เพียงแค่”เพ้อ” แม้จะอยาก ”ใฝ่” แต่ก็ไปไม่เป็น จบมาก็ยืนงงต่อแถวกันยาวเหยียดท่ามกลางทะเลฝุ่น บางคนอาจจะหลงอยู่ในทะเลฝุ่นนั้นไปนาน นานจนบางครั้งชีวิตเริ่มต้นอะไรไม่ได้เลย ความฝันเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องมีวิธีจัดการกับมันแล้วผันให้เป็นความจริงให้ได้ ความชอบ ความถนัด เป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นจะต้องหาให้พบเสียก่อน การกำหนดเป้าหมายให้ชีวิตโดยมองเพียงปัจจัยภายนอก เช่นงานนั้นมันเท่ งานนั้นมันอิสระ งานนั้นเงินดี มันก็เป็นเรื่องที่ควรคิด แต่ที่สำคัญกว่าคือการตั้งเป้าโดยสำรวจเข้าไปในตัวของเราเอง โฟกัสให้เจอว่าตัวเราเองถนัดและเหมาะสมกับงานแบบไหนมากที่สุด เมื่อพบแล้วก็ถึงเวลาที่จะหาวิธีที่จะ ”ใฝ่” เพื่อจะไปให้ถึง”ฝัน” นั้น

เพลง American Woman เขียนโดยแรนดี้ บาคแมน (Randy Bachman) แห่งคณะเกสต์ฮู (Guess Who) บันทึกเสียงในปี 1970 สังกัด RCA Records ออกจำหน่ายครั้งแรกในวันวาเลนไทน์ในปีนั้น ติดอันดับ1ในชาร์ต Billboard’s Hit 100 ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ และวงก็ได้รับแผ่นเสียงทองคำในที่สุด
เลนนี่ คราวิซ (Lenny Kravitz) ได้นำเพลง ๆ นี้มาบันทึกเสียงอีกครั้ง และคว้ารางวัลแกรมมี
อะวอร์ด นักร้องชายประเภทเพลงร็อกยอดเยี่ยมในปี 1999
เกสต์ ฮู เป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียงระดับโลกในขณะที่สมาชิกมีอายุยังน้อย ทั้งหมดชื่นชมและหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของดนตรีตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเรียน
แรนดี้ มือกีตาร์และผู้แต่งเพลง ๆ นี้เล่าถึงช่วงสมัยที่เขายังเรียนอยู่ให้เราฟังว่า “ ผู้อำนวยการโรงเรียนของผม เขาบอกให้ผมลืมร็อก แอนด์ โรล บ้า ๆ นั่นเสีย ผมควรจะตั้งใจเรียนให้จบแล้วหางานที่มันจริง ๆ จัง ๆ ทำ 30 ปีให้หลังเราได้รับเกียรติและได้รับรางวัล Walk of Fame ในโตรอนโต และได้รับการสดุดีเชิดชูเกียรติจากมหาวิทยาลัย Manitoba
ในงานวันนั้น มีคน ๆ หนึ่งนั่งอยู่ที่แถวหน้าของหอประชุม ใช่ ผู้อำนวยการโรงเรียนของผมนั่นเอง เขาแวะมาหาผมที่หลังเวที แสดงความยินดี และกล่าวกับผมว่า “ถ้าวันนั้น เธอเชื่อฟังครู เธอก็คงจะไม่มีวันนี้ สินะ”
ผมเชื่อว่าตัวเองเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางด้านดนตรี ดังนั้นหากมีใครถามผมว่า
“คุณจะเป็นอะไร หากคุณไม่ได้เป็นนักดนตรีร็อกที่ประสบความสำเร็จ”
ผมจะตอบว่า “ผมก็จะเป็นนักดนตรีร็อกที่ไม่ประสบความสำเร็จน่ะสิ”
แล้วคุณล่ะ ถ้าวันนี้คุณไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณเป็นอยู่ คิดว่าคุณจะเป็นอะไร



เศรษฐสิทธิ์ บุลเสฏฐ์
e-mail : sedthasit@msn.com

Wednesday, December 14, 2005

เบนนี่ ฮิลล์ คนที่ “น่าเป็น” ที่สุดในโลก


“หากเราสามารถนำเอาเสียงหัวเราะมาสังเคราะห์เป็นยาได้ โลกจะมียาที่สามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด ตั้งแต่โรคซึมเศร้าไปจนถึงโรคหัวใจเลยทีเดียว” การหัวเราะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ให้กับร่างกาย ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาวซึ่งมีหน้าที่จัดการกับสิ่งแปลกปลอมที่แอบซ่อนเข้ามาในร่างกาย ดังนั้นคนที่มีอารมณ์ขัน คนที่ได้หัวเราะบ่อย ๆ จึงไม่ค่อยเจ็บป่วย ร่างกายแข็งแรง หัวใจสดชื่น ที่สำคัญช่วยชะลอความแก่ให้อีกซะด้วย ในอเมริกา แคนาดา อังกฤษและอีกหลาย ๆ ประเทศเริ่มทดลองที่จะรักษาผู้ป่วยด้วยการหัวเราะแทนการรักษาด้วยยา แม้ว่าเสียงหัวเราะจะมีประโยชน์
แต่ถ้ามากเกินไปก็อาจจะเป็นอันตรายได้ ในยุคกลางเคยใช้วิธีจั๊กกะจี้เป็นเครื่องมือในการทรมานนักโทษมาก่อน
จำได้ว่าเด็ก ๆ นั้นครองความเป็นจ้าวแห่งเสียงหัวเราะ จากนั้นโอกาสหัวเราะก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ในแต่ละวันแทบจะไม่มีเสียงหัวเราะออกมาเลย นั่นอาจจะเป็นเพราะหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ตัวเลขที่ต้องดูแล ยอดขายที่ต้องผลักดัน ชีวิตต้องเดินไปในสังคมที่อุดมไปด้วยการแข่งขัน ทุกอย่างรีบไปหมด กลับถึงบ้านก็หลับเป็นตาย น่าเสียดายที่เราโตขึ้นมาในโลกที่จริงจังเกินไป โอกาสหัวเราะมีไม่มากในแต่ละวัน มันคงจะดีขึ้นถ้าเราลองหัดกลับไปทำตัวเป็นเด็กบ้าง สนุกกับชีวิตให้มากกว่าที่เป็นอยู่ แม้ในเวลาสั้น ๆ มันก็น่าจะทำให้ดีขึ้นบ้าง หยุดเครียด หยุดจริงจังกับชีวิต ปล่อยวางอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง แล้วเพิ่มอารมณ์ขันให้กับตัวเองวันละนิด ลองสังเกตเพื่อน ๆ หรือคนใกล้ตัวดู คนที่มีอารมณ์ขันมักจะเป็นคนที่มีเสน่ห์ ใคร ๆ ก็หลงใหลและอยากใกล้ชิดอยากพูดคุย ต่อให้เจ้าคารมก็แพ้อารมณ์ขัน ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ร่ำรวยอารมณ์ขันมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนที่จริงจัง พรุ่งนี้หลังจบการประชุมลองจับกลุ่มแลกเปลี่ยนเล่าเรื่องขำขันสู่กันฟังในหมู่เพื่อนร่วมงาน อาจจะเป็นเรื่องขำขันน่ารัก ๆ หรือเรื่องทะลึ่ง ทะเล้น ไปจนถึงลามกก็คงจะช่วยให้กระชุ่มกระชวยได้บ้าง
พูดถึงอารมณ์ขันแบบทะลึ่งทะเล้น เบนนี่ ฮิลล์ โชว์ รายการทีวีในช่วงปี 70-80 เป็นรายการตลกที่โด่งดังไปกว่า100ประเทศทั่วโลก ผมยังจำได้ถึงเสียงหัวเราะของตัวเองและพี่ชายในวันที่เรานั่งดูเบนนี่ ฮิลล์ บางครั้งหัวเราะกันจนน้ำหูน้ำตาไหล องค์ประกอบต่าง ๆ ในรายการ เรียกเสียงหัวเราะได้อย่างไม่หยุดหย่อน มุขทะลึ่ง ๆ และใบหน้าที่ทะเล้น ดูกรุ่มกริ่ม ของเบนนี่นั้น มันช่างกวนเบื้องล่างแต่ก็น่ารักน่าชังในเวลาเดียวกัน องค์ประกอบทุกอย่างที่เบนนี่นำมาใส่ในรายการมันเรียกเสียงหัวเราะได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งตัวละครจนถึงเพลงประกอบ ซึ่งเพลง “Ernie(The Fastest Milk cart In The West)” ของเขาเคยขึ้นไปอยู่ถึงอันดับต้น ๆ ในชาร์ตของอังกฤษในปี 1971 อีกอย่างที่ผมชอบมากและคอยดูอยู่ทุกตอนก็คือเหล่าบรรดานางฟ้าของเบนนี่ ในชุดน้อยชิ้นวิ่งหนีการไล่ตามของเฒ่าหัวงู(บางทีก็หัวล้าน)ด้วยสปีดที่เร็วผิดปกติซึ่งเข้ากับดนตรีที่ให้ความรู้สึกสัปดนนิด ๆ ได้เป็นอย่างดี ถือเป็นช่วงทีเด็ดของรายการ ทำให้รายการโด่งดังและจดจำได้อย่างไม่มีวันลืม จะว่าลามก มันก็ไม่ใช่ เอาเป็นว่าข้อหาหนักสุดก็น่าจะแค่ทะลึ่งถึงสัปดน
เบนนี่ ฮิลล์ โชว์ ถือกำเนิดขึ้นในปี 1955 จากนั้นมาทั่วโลกก็คุ้นและขำกับตลก”หน้าเป็น” คนนี้
เบนนี่ เสียชีวิตโดยลำพังภายในห้องพัก ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ในเดือนเมษายน ปี 1992 ด้วยวัย 68 ปี เหลือทิ้งไว้เพียงทรัพย์สินมูลค่า 10 ล้านปอนด์ ตลอดชีวิตไม่เคยมีรถยนต์ส่วนตัวแม้สักคัน และไม่เคยมีภรรยาแม้สักคน เข้าใจว่าเบนนี่คงใช้ชีวิตแบบคุ้มที่สุด ความจริงความดังระดับเขาน่าจะมีเงินสะสมมากกว่านั้น แต่เขาคงไม่ได้สนใจ ไม่ได้ใช้ชีวิตไปตามขนบความคิดของสังคม เขาคงมีความสุขกับการสร้างเสียงหัวเราะ เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นคนแบบนี้ เขาจึงไม่ยอมแต่งงาน เพราะการที่จะดำเนินชีวิตในแบบที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ การเดินคนเดียวคือทางออก เมื่อชีวิตหยุดทุกอย่างก็จบ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ไม่ต้องมีคนมาโศกเศร้า ซึ่งเบนนี่อาจจะไม่ต้องการ สิ่งที่เขาต้องการอาจเป็นเพียงแค่เสียงหัวเราะที่ดังไปทั้งโลกเท่านั้น และมันก็เป็นเช่นนั้น แม้ในวันที่เขาได้หยุดหัวเราะไปแล้ว


เศรษฐสิทธิ์ บุลเสฏฐ์
e-mail : sedthasit@msn.com

Monday, December 12, 2005

“ผมไม่ใช่ฮีโร่ ผมมันก็แค่ผู้ชายธรรมดา ๆคนหนึ่ง”


วันหยุดเป็นวันที่ใครหลาย ๆ คนไม่ชอบที่จะออกไปข้างนอก อาจจะเป็นเพราะเบื่อหน่ายกับการจราจร เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางตลอดสัปดาห์ เมื่อวันหยุดมาถึงการนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับบ้านจึงเป็นวิธีการพักผ่อนที่ดูจะเหมาะสมที่สุดในยุคนี้ ทีวีจึงเป็นอุปกรณ์เพื่อการพักผ่อนในวันหยุดที่สุดประหยัด เอนหลังสบาย ๆในมือถือรีโมท เลือกรายการโปรดที่ชอบ รายการนี้ไม่ชอบก็กดไปช่องอื่น ช่องนี้น่าเบื่อก็เลื่อนไปอีกช่อง มีถึง 6ช่องให้เลือก บ้านไหนมีฐานะขึ้นมาหน่อยและอยากตามกระแสเมืองนอกให้ทันก็ยอมจ่ายรายเดือนกับเคเบิ้ลทีวี เพิ่มมาได้อีกยี่สิบสามสิบช่อง เลือกดูกันได้ตามรสนิยม
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา เมื่อไม่มีความจำเป็นต้องออกไปไหน ผมใช้เวลาพักผ่อน นอนอยู่กับบ้าน เปิดทีวีดูไปเรื่อย เปลี่ยนช่องไปเรื่อย และแน่นอนครับที่บ้านผมมีเคเบิ้ลเพราะเบื่อรายการจากช่องปกติ จึงยอมควักสตางค์เพื่อบางอย่างที่แตกต่างออกไป แต่ในวันนั้น มันโชคร้ายหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ผมกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปจนครบทุกช่อง ก็ยังไม่เจออะไรที่ตัวเองอยากดูสักที ช่องที่เป็นสาระก็เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกว่าหนักไปสำหรับวันหยุดสบาย ๆ วันนี้ ส่วนช่องบันเทิงก็เป็นบันเทิงเชิงการตลาดจนดูคล้าย ๆ กัน นั่นเป็นเพราะมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันหมด สุดท้ายผมไปหยุดพักอยู่ที่ช่องกีฬา เป็นเทปบันทึกการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ของคืนวาน(เสาร์) ดูอยู่สักพักก็เบื่อเพราะผมรู้ผลของคู่นี้แล้ว ทีนี้จะเอาอย่างไรดี วันหยุดทั้งทีไม่มีอะไรให้ดูเลยหรือนี่ สุดท้ายก็ต้องไปพึ่ง
ดีวีดีที่ซื้อไว้แต่ยังไม่มีเวลาดู ไล่เรียงดูชื่อเรื่องก็ไปสะดุดกับเรื่อง kill bill เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตอนซื้อมานั้นอยากดูมาก แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้แกะพลาสติกเลย อย่างน้อยวันหยุดวันนี้ผมมีอะไรทำแล้ว จากนั้นผมก็ได้ดูการตามล่าตามฆ่าบิล (แสดงโดยเดวิด คาราดีน) แล้วนายบิลคนนี้แหละที่ทำให้ผมหวนรำลึกถึงหนังทีวีที่ผมเคยติดมาก ๆ สมัยวัยรุ่น ซึ่งมีนายบิลคนนี้แสดงนำ
กังฟู (Kung Fu)เป็นหนังทีวีที่สร้างขึ้นในปี 1972 โดยบริษัทวอร์เนอร์ บราเดอร์ เทเลวิชั่น เดวิด คาราดีน รับบทเป็น ไคว ชาง เคน เด็กกำพร้าอเมริกันที่ได้เข้าไปศึกษาวิชากังฟูที่วัดเส้าหลินตั้งแต่เด็ก ๆ จากนั้นต้องหลบหนีทางการจีนออกมาเพราะไปฆ่าหลานชายของจักพรรดิ์จีนเข้าให้แม้จะโดยอุบัติเหตุ เคนต้องหลบหนีสู่อเมริกาเพื่อหนีการตามล่าของทางการ และถือเป็นการเดินทางเพื่อตามหาพี่ชายไปด้วย การเดินทางเข้าสู่ดินแดนตะวันตกทำให้เขาต้องพบเจอกับพวกเหล่าร้าย เคนมีเพียงวิชากังฟูที่ติดตัวมา เขาใช้เพียงมือที่กร้านกับหัวใจที่แกร่งต่อสู้ เมื่ออยู่ท่ามกลางควันปืนแห่งทุ่งตะวันตก เรื่องราวดำเนินไปอย่างเรียบ ๆ แต่มันทรงพลังอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยปรัชญาและวิถีแห่งตะวันออกซึ่งในเวลานั้น ผมถือว่าผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ได้หยิบประเด็นความแตกต่างของวิถีตะวันตกและตะวันออก มาพบกันและสร้างสรรค์งานออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ที่สำคัญมันสอดแทรกปรัชญาการดำเนินชีวิตไว้ได้อย่างแนบเนียน จะดูเอาสาระก็ได้ จะดูเอาบันเทิงก็มี ผิดกับหนังหรือละครซึ่งออกอากาศทางทีวีทุกวันนี้ที่อาจจะขาดทัศนคติหรือมุมความคิดที่จะเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตในสังคมโดยมุ่งไปที่ผลกำไรเป็นหลักเพียงอย่างเดียว

ฝรั่งเรียนกังฟูดูเป็นเรื่องแปลกมากสำหรับผมและน่าจะสำหรับหลาย ๆ คนในวันนั้น เมื่อหนังออกอากาศ เดวิด คาราดีนก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล เอมมีในฐานะนักแสดงนำยอดเยี่ยม แม้ว่า บรู๊ซ ลี จะเป็นคนแรกที่ได้รับการหยิบยกขึ้นมาเพื่อให้รับบท ไคว เชง เคน แต่เมื่อที่ประชุมได้พิจารณาและลงมติทุกคนเห็นว่าผู้ชมอเมริกาอาจจะยังไม่พร้อมในการยอมรับดารานำแสดงที่เป็นคนจีน แม้ว่า บรู๊ซ ลี จะเคยรับบท “เคโต้”ผู้ช่วยของหน้ากากแตนในทีวีซีรีส์ เรื่อง The Green Hornet (หน้ากากแตนอาละวาด) ซึ่งออกอากาศไปก่อนหน้านี้ในปี 1966
แม้ว่าเรทติ้งของ กังฟู จะอยู่ในความนิยมอย่างสูงต่อเนื่องมาจนถึงซีซันที่ 3 แต่วอร์เนอร์ก็ต้องปล่อยให้จบชุดลงไป นั่นเป็นเพราะพระเอกของเราขอยุติการแสดง ด้วยเหตุผลที่ตนได้รับบาดเจ็บตลอดเวลาในขณะถ่ายทำ การหยุดตัวเองแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าประชาชนกำลังต้อนรับเขาอย่างมากมาย ต้องเรียกว่าพระเอกกังฟูนั้น “รู้จักพอ” ไม่รอให้เรทติ้งตกซะก่อน
“ผมไม่ใช่ฮีโร่ ผมมันก็แค่ผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง” ไคว เชง เคน กล่าวทิ้งท้าย

เศรษฐสิทธิ์ บุลเสฏฐ์
e-mail:sedthasit@msn.com