Friday, October 13, 2006

ฝนกับฝัน




วันนี้ วันที่ผมกำลังนั่งเขียนบันทึกนี้เป็นคืนวันที่ 11 ตุลาคม 2549 ฝนข้างนอกกำลังตกลงมาดั่งฟ้ารั่ว ความจริงตั้งแต่ต้นเดือนมาแล้วที่ฝนตกลงมาด้วยปริมาณที่เกินความต้องการ หลังจากที่อากาศร้อนเกินความต้องการก่อนหน้านี้มาแล้ว ผมรู้สึกอยู่ก่อนแล้วว่าหากอากาศร้อนขนาดนี้ เมื่อเข้าหน้าฝนจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน เท่าที่จำได้ผมเคยเจอกับปัญหาน้ำท่วมเช่นนี้มาก่อนหน้าถึงสองครั้ง ครั้งแรกในปี 2526 ครั้งที่ 2 ในปี 2538 และครั้งนี้ปี 2549 นับโดยเฉลี่ยแล้วก็ประมาณ 10 ปีครั้ง สำหรับครั้งนี้ ณ วันนี้มีจังหวัดที่ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมเกือบทุกภาค โดยเฉพาะในภาคกลาง ลพบุรี สิงห์บุรี อยุธยา นครสวรรค์ และอื่นๆ ส่วนในกรุงเทพฯนับว่ายังไม่เกิดปัญหาหนักมาก จะมีก็เพียงบางครั้งในเวลาสั้น ๆ ยังไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมขัง ดั่งเช่นจังหวัดอื่น ๆ

ตอนนี้ในขณะที่ผมนั่งเขียนบันทึก ฝนข้างนอกยังส่งเสียงดังสลับกับเสียงคำรามของสายฟ้าอย่างต่อเนื่อง วิทยุที่เปิดทิ้งไว้ ดีเจเริ่มเปิดเพลงที่เกี่ยวข้องกับฝนอย่างต่อเนื่อง คิดว่าคืนนี้ดีเจท่านนี้คงจับประเด็นและเล่นเพลงเกี่ยวกับฝนไปจนจบแน่นอน แปลกที่เมื่อเราได้ฟังเพลงที่เกี่ยวข้องกับฝนอย่างต่อเนื่อง เราจะรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าเพลงเหล่านั้นมันช่างโรแมนติกไปซะทุกเพลง ฝนถูกจับมาเป็นเครื่องมือในการสร้างบรรยากาศของเนื้อหาในบทเพลงได้อย่างดี ไม่ว่าเนื้อหาในเพลงจะสมหวังหรือผิดหวัง อย่างน้อยมันทำให้ผมรู้สึกถึงความสวยงามของความรักได้

ฝน ที่กำลังสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในที่หนึ่ง กับฝนที่กำลังทำให้คนในอีกที่หนึ่งล่องลอยไปในความฝัน เป็นฝนเม็ดเดียวกันจากฟ้าเดียวกัน ฝนเม็ดนั้นอาจจะไม่เป็นที่ต้องการของนักธุรกิจที่กำลังจะออกไปพบลูกค้าเพื่อการเจรจาการค้าครั้งสำคัญ แต่สำหรับเด็ก ๆ ฝนเม็ดนี้คือสิ่งที่พวกเขารอคอยที่จะออกไปวิ่งเล่นหยอกล้อดุจเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอะเจอกันมานาน ฝนเม็ดนี้สำหรับหนุ่มสาวมันอาจนำพาความทรงจำเก่า ๆ ความรักเก่า ๆ กลับมาในความคิดคำนึง แม้ไม่นาน แต่ก็ชื่นใจไม่น้อย ด้วยความที่ฝนเม็ดเดียวกันมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตอันต่างกันของผู้คน บางครั้งเราจึงเห็นเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นน้ำฝนจนน้ำกระจายไปใส่ผู้ใหญ่ซึ่งมีกิจธุระต้องรีบไปทำ จนต้องตะโกนด่าทอเด็ก ๆ ออกมาอย่างรุนแรงแข่งกับเสียงฝนระคนกับเสียงหัวเราะสนุกสนานอย่างไม่สนใจใยดีของเด็ก ๆ

ระหว่างเก่ากับใหม่ ระหว่างใหญ่กับเล็ก ขาวกับดำ น้อยกับมาก บางทีที่ตรงนั้นอาจเป็นจุดพอดี ที่เรียกกันว่า สายกลาง อันเป็นจุดลงตัวที่จะยุติปัญหาความไม่พอดี
ขนาดใหญ่ไป ขนาดเล็กไป จึงต้องใช้ ขนาดกลาง เข้าแก้ไขปัญหา
น้อยไปก็ไม่พอ มากไปก็เกินต้องการ นานไปก็เบื่อ เร็วไปก็ไม่ทัน
บทเพลงที่เกี่ยวข้องกับฝนยังคงดำเนินต่อไป
“นานอีกหน่อย” ของใหญ่ โมโนโทน
“ฝน” ของเบิร์ดกะฮาร์ท
“รักปอน ปอน” ของไมโคร .......
ดึกมากแล้ว ผมเตรียมตัวเข้านอน แล้วผมก็ได้ยินเพลงนี้ออกมาจากลำโพงก่อนที่จะล้มตัวลงนอน
Listen to the rhythm of the falling rain
Telling me just what fool I’ve been
I wish that it would go and let me cry in vain
And let me be alone again.
ผมได้รู้จักกับเพลงนี้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก มารู้สึกประทับใจในตัวเพลงจริง ๆ ก็เมื่อเริ่มที่จะเป็นหนุ่ม จนถึงทุกวันนี้แม้จะไม่มีโอกาสได้ฟังมันบ่อยนัก แต่ในค่ำคืนนี้ คืนที่ฝนฟ้าคะนอง ท่วงทำนองแห่งเพลงพาผมกลับไปยังวัยหนุ่ม พาผมหวนไปพบกับความรักในครั้งนั้น แม้ว่าผมจะจำเธอคนนั้นไม่ได้แล้ว แต่ก็ทำให้ผมคิดถึงละโหยหาวันเวลาแห่งวัยหนุ่มอีกครั้ง
“RHYTHM OF THE RAIN” แต่งโดย John Claude Gummoe นักร้องนำ หนึ่งในสมาชิกแห่งวง
The Cascades เป็นเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขาอย่างสูงในปี 1963 ถึงกับมีการกล่าวถึงเพลงนี้ว่าเป็นเพลงที่ยิ่งใหญ่เพลงสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่ยุคของ The Beatles
John Gummoe เติบโตมากับวัยเด็กที่ไม่เพียบพร้อม พ่อของเขาเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง คุณแม่ต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่นั่นก็เป็นข้อดีที่ทำให้เขามีแรงบันดาลใจที่จะผลักดันตัวเองไปข้างหน้า โดยตั้งใจที่จะไม่เป็นอย่างพ่อของเขาอย่างเด็ดขาด เขาตั้งใจที่จะทำอะไรสักอย่างที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขา แต่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นนักร้อง นักแต่งเพลงเลย
ฝนเริ่มเบาลงแล้ว ผมคงหลับไปแล้ว
ในคืนนั้นความฝันของผมเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเลือนลาง ผมฝันถึงบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของผม
บางอย่างที่ผมสร้างขึ้นมาและยังจะคงอยู่ แม้ในวันที่ผมไม่อยู่แล้วก็ตาม