Wednesday, August 19, 2009

Stop the World! I want to get off !

ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมอ่านพบคำพูดนี้จากหนังสือเล่มใด แต่จากคำพูดนี้มันทำให้ผมหวนนึกออกในอีกหลาย ๆ เรื่องที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต สิ่งที่เคยเป็น วันนี้เปลี่ยนไป ทุกสิ่งคงหนีไม่พ้นกฏแห่งการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป
ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง เราในฐานะผู้อยู่ในสังคม ในโลก ก็คงมีหน้าที่ต้องปรับจูนตัวเองให้สามารถเคลื่อนไหวไปพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ได้ ผมเองอาจจะโชคดีที่บังเอิญมีชีวิตอยู่ระหว่างจุดเปลี่ยนของยุคพอดี เมื่อโลกเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์หรือยุคอินเตอร์เน็ตผมก็ยังพอมีแรงที่จะเคลื่อนตัวเองไปกับมันได้ ผมเคยทำงานด้วยกระดาษ ปากกา ปัญญา และความอุตสาหะ แล้วผมก็มีโอกาสได้ตื่นเต้นไปกับการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ที่รวดเร็ว แม่นยำ และสะดวกสบาย บางครั้งผมก็ลืมความรู้สึกและบรรยากาศของการทำงานในยุคกระดาษปากกาไปได้เหมือนกัน จนกระทั่งบางวันที่ระบบคอมพิวเตอร์เกิดรวนขึ้นมา ทุกคนบอกว่าทำงานไม่ได้เพราะระบบล่ม วันนั้นนั่นแหละที่ทำให้ผมเริ่มนึกย้อนไปถึงวันเก่า ๆ ที่เราก็ยังทำงานได้โดยปราศจากอินเตอร์เน็ต ไม่มีคอมพิวเตอร์
ย้อนกลับไปถึงตอนเรียนหนังสือสมัยมัธยม เมื่อคุณครูมอบหมายให้นักเรียนทำรายงาน นั่นคือบททดสอบในหลาย ๆ ด้านของนักเรียนเลยทีเดียว นักเรียนจะได้รู้จักเรียนรู้เริ่มต้นจากการจัดเวลาของตัวเอง เพราะการหาข้อมูลที่จะมาทำรายงานนั้นจะต้องดั้นด้นไปค้นหาที่ห้องสมุดและบางครั้งต้องเดินทางไปถึงห้องสมุดแห่งชาติในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ จากนั้นก็ต้องขลุกอยู่กับแหล่งข้อมูลนั่งจดนั่งคัดลอกออกมา แล้วนำมาเขียนด้วยลายมือลงในกระดาษฟูลแก๊ป หากต้องใช้ภาพประกอบก็ต้องหารูปจากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือแม้กระทั่งวาดเองขึ้นมา แล้วนำมาประกอบเป็นเล่ม ทำหน้าปกให้สวยด้วยจินตนาการตัวเอง จึงต้องมีเวลากับภาระดังกล่าวพอสมควรทุกอย่างได้รับการตรวจทานและผ่านสายตาไม่น่าจะน้อยกว่าสองสามครั้ง
แต่ทุกวันนี้การทำรายงานไม่ว่าจะเรื่องอะไรที่คุณครูมอบหมายให้นักเรียนนั้น มันสามารถจัดการทุกอย่างให้เสร็จได้ภายในคืนเดียวด้วยซ้ำ โดยใช้คอมพิวเตอร์ อาจจะไปเสิร์ทในกูเกิ้ล แล้วข้อมูลดังกล่าวก็จะไหลออกมาให้ copy และนำไป paste ลงใน Microsoft word อีกที ทั้งภาพและตัวอักษร จากนั้นสั่ง print เป็นอันเสร็จ สะดวกรวดเร็วกว่ายุคก่อนมาก
สิ่งหนึ่งที่ผมสงสัยก็คือ การทำรายงานในเรื่องใดก็ตาม ความต้องการของคุณครูคือให้เด็กได้รู้จักค้นคว้า ได้อ่านข้อมูล ซึ่งการใช้เวลาไปกับสิ่งนั้นจะทำให้ได้รับความรู้โดยไม่รู้ตัว เล่มรายงานที่ทำเสร็จนั้นอาจสำคัญไม่เท่าขั้นตอนต่าง ๆ ที่สร้างมันขึ้นมา
แต่ด้วยวิธีการยุคใหม่ ผมไม่มั่นใจว่าเด็ก ๆ จะได้อ่านข้อมูลเหล่านั้นหรือเปล่า
เกิดโชคร้าย เด็ก ๆ แค่อยากทำรายงานส่งครูให้มันเสร็จ ๆ เมื่อเสิร์ชเข้าไปในกูเกิ้ลเจอสิ่งที่อยากได้ หัวข้อตรง ก็ก๊อปแปะจบ ด้วยความเร็วและสะดวกขนาดนี้เด็กยุคใหม่จะมีรายงานที่สวยงามและข้อมูลแน่น โดยที่พวกเขาอาจจะไม่ได้ความรู้เลยหรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่ได้คะแนน

ในยุคโน้น การจะมีแฟนสักคน การจะมีความรักสักครั้ง มันช่างลำบากและต้องใช้ขั้นตอนที่ต้องใช้ความอุตสาหะไม่แพ้การทำรายงานส่งครู ลองคิดตามนะครับสำหรับเด็ก ๆ ยุคใหม่ที่อาจจะนึกภาพบรรยากาศในยุคนั้นไม่ออก
ปัจจัยที่มาอันดับแรกคือเรื่องเวลา เด็กยุคโน้นดูเหมือนจะไม่ค่อยมีโอกาสไปเตร็ดเตร่ที่ไหนมากนัก สถานที่ที่จะให้ไปเที่ยวหลังเลิกเรียนก็เห็นจะมีแต่สยาม ร้านเหล้าไม่ต้องพูดถึง เมื่อเป็นเช่นนี้โอกาสที่เราจะได้ไปพบใครที่ถูกใจสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากบนรถเมลหรือตามงานนิทรรศการที่จะจัดขึ้นตามโรงเรียนต่าง ๆ และเมื่อพบและรู้จักกันแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสได้พบเจอหรือพูดคุยกันบ่อยนัก ยุคนั้นบ้านไหนมีโทรศัพท์ที่บ้านก็นับว่าเป็นบ้านที่มีฐานะดีพอสมควร เพราะค่าติดตั้งนั้นแพงมาก ๆ
สำหรับเด็กจน ๆ ที่ร่ำรวยความรักก็คงต้องใช้พึ่งพาจดหมาย การนั่งเขียนจดหมายถือเป็นเวลาที่มีความสุขอีกช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว นี่ยังไม่นับการที่ต้องเดินเลือกซื้อกระดาษเขียนจดหมายที่คิดว่าเขาหรือเธอจะถูกใจ การเลือกใช้ซองที่เข้ากันได้อย่างดีกับกระดาษที่เลือก ขั้นตอนเหล่านี้ล้วนมีส่วนในการทำให้ความรักนั้นมั่นคงและจริงใจ หลังจากส่งจดหมายรักออกไป ก็จะต้องมาคอยใจจดใจจ่อรอจดหมายตอบกลับอย่างตื่นเต้นทุกวัน มันตื่นเต้นทุกขั้นตอนเลยจริง ๆ การใช้จดหมายเป็นสื่อกลางเพื่อการนัดหมายทำให้การจะพบกันแต่ละครั้งของหนุ่มสาวมีความสำคัญ และนั่นอาจทำให้ความรักและการนัดหมายทุกครั้งดูมีค่ามากกว่าทุกวันนี้ที่การนัดหมายทำกันได้อย่างง่ายๆ เพราะทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ นัดกันได้ทันทีและบอกเลิกนัดกันได้อย่างง่ายดาย อาจจะเป็นสาเหตที่ทำให้ความรักและการนัดหมายของหนุ่มสาวยุคนี้ดูฉาบฉวยและไม่ค่อยมีความสำคัญเท่ากับหนุ่มสาวในยุคนั้น
ผมไม่ทราบหรอกครับว่า แล้วตกลงยุคไหนดีกว่ากัน ในแต่ละยุคก็มีข้อดีและข้อด้อยในตัวเอง น่าจะอยู่ที่คนในยุคนั้น ๆ ว่าจะมีวิธีปรับเปลี่ยนตัวเองให้อยู่ร่วมในยุคสมัยนั้น ๆ อย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุดและมีความสุขมากที่สุด
หาก รายงาน หรือ คนรัก เปรียบได้กับเป้าหมายของชีวิตที่เราพยายามเดินไปให้ถึง สำหรับผม ผมชอบการเดินทอดน่องและมีความสุขกับการมองความสวยงามของสองข้างทางไปด้วย ส่วนจะถึงจุดหมายเมื่อไรนั้นค่อยมาว่ากันทีหลัง

Friday, March 20, 2009

สนามความคิด OFFICE’S STORIES

เป็นคอลัมน์ที่ตั้งใจจะนำเรื่องราวและปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในออฟฟิตในทุก ๆ มิติ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับด้านใด ๆ ของชีวิตการทำงาน มาพูดคุยและเปิดโอกาสให้คนอ่านร่วมส่งผ่านความคิดเห็น และแสดงวิธีการแก้ปัญหาเข้ามาในคอลัมน์ด้วย

ในหนึ่งชีวิตของคน หากแบ่งเป็นช่วงใหญ่ ๆ ในแต่ละวัย คงเริ่มต้นกันที่ วัยเยาว์ วัยเรียน และวัยทำงาน มีการแข่งขันใหญ่ ๆ เกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างน้อย ๆ ก็สองครั้ง คือการสอบเข้าเรียนและการสอบเข้าทำงาน ปัจจุบันการแข่งขันเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ กว่าเมื่อก่อนนี้ การสอบเอ็นทรานซ์มีคนสมัครสอบมากขึ้นในขณะที่ความต้องการและความสามารถในการรับนักศึกษาเข้าเรียนมีอยู่จำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการที่จะเข้ามหาวิทยาลัยที่เชื่อกันว่าดีนั้นมีจำนวนมากเกินกว่าที่จะสามารถรับได้ ค่านิยมและความเชื่อเดิม ๆ ยังคงมีอยู่ แม้ว่าจะมีมหาวิทยาลัยเปิดและมหาวิทยาลัยเอกชนที่เปิดขึ้นมามากมาย แต่นักเรียนทั้งหมดก็ยังคงมุ่งหน้าแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อที่จะเข้าเส้นชัยให้ได้
เมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย หลายคนโล่งใจ อย่างน้อยก็ผ่านการแข่งขันสนามแรกมาได้แล้ว แต่การแข่งขันที่รออยู่เบื้องหน้านั้นมันช่างยากเย็นยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า เพราะนักศึกษาที่เรียนจบออกมาปี ๆ หนึ่งนั้นมันมีจำนวนมากกว่าอัตราการจ้างงานในแต่ละองค์กรอย่างมาก นี่ยังไม่นับถึงการแข่งขันเพื่อที่จะได้เข้าทำงานในบริษัทหรือองค์กรที่มีชื่อเสียงและมั่นคง ยิ่งต้องมีการแข่งขันกันสูงยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้สมัครนอกจากจะต้องเอาชนะคู่แข่งจากการสอบทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์แล้ว เราจะทำอย่างไรให้โดดเด่นกว่าคนอื่น ทำอย่างไรให้ชนะใจกรรมการ ทำอย่างไรให้ตัวเรานั้นเข้าตากรรมการ วันนี้หากเรามาตั้งเป้าว่า จะทำอย่างไรให้ชนะใจกรรมการและได้งาน คุณ ๆ ผู้อ่านคิดว่ามีวิธีใดบ้างที่จะสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเราในวันที่เราต้องไปแข่งขันเพื่อให้ได้รับเลือกและเข้าทำงานในองค์กรเป้าหมาย
เรามาเริ่มต้นกันที่จะต้องทำอะไรบ้าง มีขั้นตอนอะไรบ้าง ก่อนที่เราจะเข้าไปถึงสนามแข่งขัน
สมมติว่าวันนี้ผมสำเร็จการศึกษา ผมอยากทำงานในตำแหน่งครีเอทีฟหรือก็อปปี้ ไรท์เตอร์ในบริษัทโฆษณา สิ่งที่ผมจะต้องทำคือ เปิดหนังสือพิมพ์ เปิดเว็บไซด์ หาข้อมูลว่ามีบริษัทโฆษณาใดบ้าง ที่ต้องการรับสมัครพนักงานในตำแหน่งที่ผมต้องการ สมมติว่าหาแล้วไม่มีบริษัทไหนลงประกาศรับเลย คุณคิดว่าคุณจะทำอย่างไรต่อไป ยกเลิกความฝันแล้วไปมองหางานอื่น หรือยังคงมุ่งมั่นค้นหาและนั่งรอนอนรอต่อไปจนกว่าจะพบประกาศรับสมัครของบริษัทที่ต้องการครีเอทีฟ
นอกจากสองทางเลือกนี้ มันมีทางอื่นอีกหรือไม่

ถ้าเป็นคุณ ๆ จะทำอย่างไร
ถ้าเป็นผม ผมจะยังคงความฝันของตัวเองเอาไว้ แต่จะไม่นั่งรอประกาศรับสมัคร ผมจะไปค้นหาที่อยู่ของบริษัทแล้วส่งใบสมัครไปทิ้งไว้ทุกที่เลย ไม่ต้องรอให้เขาประกาศรับ ร่อนใบสมัครไปทุกที่เลย พอถึงวันที่เขาขาดครีเอทีฟหรือว่าต้องการรับครีเอทีฟเพิ่ม เราก็จะเป็นคนแรก ๆ เลยที่เขาจะเรียกไปสัมภาษณ์หรือทดสอบ

สมมติต่อไปอีกว่าหากมีคนคิดแบบนี้เหมือนกันหลายคน ก็จะมีใบสมัครแบบเดียวกับเราอีกหลายใบ ทีนี้จะทำยังไงดีให้เราโดดเด่นและประทับใจกรรมการเหนือกว่าคนอื่น ๆ เหนือกว่าใบสมัครใบอื่น ๆ
แน่นอนในใบสมัครทุกใบก็คงมีรายละเอียดทั่วไปบวกประวัติการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่จบมา กรรมการก็คงต้องดูจากข้อมูลเหล่านี้ ใบสมัครที่ระบุว่านิเทศน์ศาสตร์ จุฬา ก็คงจะน่าสนใจและได้เปรียบใบสมัครใบอื่น ๆ และสมมติต่อไปอีกว่า ในรายละเอียดการศึกษาของคุณไม่ได้จบมาทางนี้ เช่นคุณจบมาทางเศรษฐศาสตร์ และยังมาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง คุณจะทำอย่างไรล่ะที่นี้ แม้จะตัดหน้าคนอื่นโดยส่งใบสมัครไปดักรอไว้ก่อน แต่ก็ต้องไปเจอกับคนที่คิดเหมือนกัน แต่มาจากสถาบันและคณะที่ตรงกับตำแหน่งมากกว่า
แม้จะรู้ตัวเองดีว่า คุณนั้นเป็นครีเอทีฟเต็มตัวและหัวใจ
คิดมาถึงตรงนี้คุณก็มีทางเลือกสองทาง หนึ่งเลิกล้มความฝันแล้วผันตัวเองไปสมัครงานในตำแหน่งที่ตรงกับที่เรียนจบมา หรือสองรอโชคช่วยและลุ้นว่าอาจจะไม่มีใบสมัครของเด็กนิเทศน์จุฬาเลยก็ได้

ถ้าเป็นคุณ ๆ จะทำอย่างไร
ถ้าเป็นผม ผมจะทำใบสมัครที่มันแหกคอก ออกไปจากรูปแบบของใบสมัครงานทั่วไป เช่น ทำเป็นแมกกาซีนแอด ทำเป็นหนังโฆษณา ทำเป็นสปอตวิทยุ หรืออะไรก็ได้ที่สามารถแสดงออกให้กรรมการเขารู้ว่า เราเข้าใจงานโฆษณาและเหมาะสมอย่างที่สุดแล้วที่จะเข้ารับตำแหน่งครีเอทีฟ
ผมจะแทนตัวเองเป็นสินค้า แล้วคิดไอเดียเด็ด ๆ ให้โดนใจกรรมการไปเลย

คิดเห็นเป็นอย่างไร มีไอเดียเด็ด ๆ โยนลงสนามมาเลยนะครับ เพื่อน ๆ รออ่านอยู่
ส่งมาที่ pom_goodbooks@hotmail.com

Friday, February 27, 2009

มาทำงานตรงเวลาหรือว่ามาสายกลับดึก ดีกว่ากัน

เมื่อสมัยเริ่มต้นทำงานใหม่ ๆ ผมไปทำงานแต่เช้าและกลับบ้านดึก การไปทำงานแต่เช้าเป็นเพราะว่าตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ ชีวิตคนทำงาน และการกลับบ้านดึกดื่นก็เป็นเพราะว่าอยากทำงานเยอะ รู้อะไรให้ไว ๆ จะได้ก้าวหน้าเร็ว ๆ

แต่จากนั้นเมื่อทำงานไปได้สักสองสามปี ผมเริ่มมาทำงานสายขึ้นนิดหน่อยแต่ยังคงกลับบ้านดึกดื่น เป็นเพราะความตื่นเต้นลดน้อยลง และความเก่าแก่ของการเป็นพนักงานเพิ่มขึ้นเรียกว่าชักคุ้นกับองค์กร แต่การกลับบ้านยังคงดึกดื่น ขยันหรือเปล่า ไม่แน่ใจ เพียงแต่รู้สึกว่าการทำงานหลังจากคนอื่น ๆ กลับบ้านแล้วมันลื่นไหลดี เพราะผมทำงานครีเอทีฟ ช่วงเวลากลางวันมันรู้สึกว่าบริษัทพลุกพล่าน ไหนจะเสียงคนงานพูดคุย เสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่ขาดสาย ผมจึงจัดระเบียบการทำงานใหม่นั่นคืองานติดต่อต่าง ๆ จะทำในเวลากลางวัน พอตกค่ำผมจะเริ่มต้นคิดงานครีเอทีฟ แล้วก็ได้ผล จึงยึดวิธีนี้ในการทำงานมาตลอด ระยะหลัง ๆ เมื่อทำงานด้านนี้มาได้กว่าสิบปี ผมเริ่มมาทำงานบ่าย แต่ยังคงกลับดึกเหมือนเดิม ผมเริ่มรู้ว่างานครีเอทีฟนั้น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาทำงาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ทำงาน ไม่จำเป็นต้องมานั่งคิดที่โต๊ะทำงาน เราสามารถทำที่ไหนก็ได้เมื่อเจองานซ้อนกันเยอะ ๆ ผมเริ่มเอามันกลับไปบ้านด้วย นอนกับมัน ฝันถึงมัน คุยกับมันตลอดเวลา แต่ยังมาถึงที่ทำงานบ่าย ๆ อยู่ดี
ไม่นานงานผมก็รู้สึกเหมือนจะมีอิสระมากขึ้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาหรือว่าสถานที่ ไม่จำเป็นต้องมาทำงานที่ออฟฟิต เพราะคิดที่ไหนก็ได้ โชคดีที่องค์กรผมเขาไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องเวลาเข้างานมากนัก(โชคดีของผม)แต่ซีเรียสกับไอเดียที่คิดออกมามากกว่า จนในที่สุดผมก็กลายเป็นตัวอย่างที่ดีหรือไม่ดีไม่รู้ แต่คนที่ทำงานครีเอทีฟในบริษัทก็จะได้รับความเข้าใจและเห็นอกเห็นจากบริษัทไปด้วยกันหมด โดยการเลื่อนเวลาตอกบัตรให้ หรือไม่ก็ยกเว้นกฏข้อนี้ไปเลย
ผมจึงกลายเป็นพนักงานที่ไม่ได้สนใจเรื่องเวลาเข้าออกงานมากนักมาโดยตลอด
บางครั้งรู้สึกว่าคนอื่น ๆ จะมองว่าผมเป็นพวกอภิสิทธิ์หรือเปล่า คงมี แต่ผมไม่สนใจเท่าไร ขอให้งานออกมาดีมันก็เป็นเกราะป้องกันตัวดีดีนี่เอง

วันก่อนเพื่อนเก่าซึ่งไปเปิดบริษัทของตัวเองมาเล่าให้ฟังถึงปัญหาพนักงาน เขาบอกว่ามีพนักงานสองแบบที่ออฟฟิตเขา คือมาเช้ากลับตรงเวลา กับพวกมาสายแต่กลับดึก เราคุยกันเพื่อหาข้อยุติว่าพนักงานแบบใดดีกว่ากัน เป็นการตั้งกระทู้แบบลับสมองกันเล่น ๆ
ผมถามเขาว่ามีแค่สองแบบเองหรือ ไม่มีแบบว่ามาเช้ากลับดึกหรือ คำตอบคือไม่มี
หากคำถามคือเท่านี้และไม่มีข้อมูลรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ ผมก็เลยตอบไปว่า พวกมาสายกลับดึกดิ เพราะอะไรหรือ เพราะผมเป็นพนักงานประเภทนั้นเหมือนกันเหตุผลก็ง่าย ๆ แค่นี้ แต่ในความเป็นจริงมันคงมีรายละเอียดในการพิจารณามากกว่านั้น มาเช้ากลับตรงเวลาก็ไม่ได้แปลว่าพนักงานคนนั้นไม่มีใจให้บริษัท และการกลับดึก ๆ ก็ไม่ได้แปลว่าพนักงานคนนั้นอุทิศตัวเองให้บริษัทอย่างเต็มที่ อาจจะเป็นเพราะว่าทำงานช้าและจบงานไม่ทัน ไม่มีการวางแผนงานที่ดีพอ และการอยู่ดึก ๆ ดื่น ๆ ยังจะทำให้ค่าใช้จ่ายออฟฟิตสูงขึ้น เช่นค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทะนุบำรุงเพิ่มขึ้น พนักงานคนนั้นได้พักผ่อนน้อยลง ประสิทธิภาพในการทำงานในวันต่อมาก็จะลดลง และยิ่งไปกันใหญ่หากใครคนนั้นคิดว่าการอยู่ดึกทำให้ตัวเองดูขยันซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ผู้บริหารจะพอใจและส่งผลถึงโบนัสในตอนปลายปี
ถึงตรงนี้เจ้าเพื่อนผมมันทำท่าเหมือนผมไปจี้จุดอะไรมันเข้า มันตบขาตัวเองเหมือนปัญหาถูกไขให้กระจ่างสว่างคาตา

“เป็นไปได้ว่ะ เพราะกูสังเกตุพอใกล้ ๆ ปีใหม่ทีไร พนักงานกูแม่งกลับดึก ๆ ทุกคนเลย”
“มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”
คุณล่ะคิดยังไง

“ทำงานตามเงินเดือน”

เงินเดือน มีความหมายในหลาย ๆ มิติแตกต่างกันไปตามปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ
เงินเดือนควรจะเยอะหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสมควรของแต่ละคน แต่ละเวลาและแต่ละเงื่อนไข แตกต่างกันไป
ไม่มีใครสามารถบอกเงินเดือนที่สมควรสำหรับคุณได้อย่างแม่นยำ เพราะมันเป็นเรื่องของความพอใจและความเหมาะของคุณเอง คุณเองเท่านั้นที่จะรู้ถึงจุดสมควรตรงนั้นได้
ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถตอบคำถามให้กับน้องคนหนึ่งได้ว่า เธอสมควรจะเรียกเงินเดือนเท่าไรต่อการสมัครงานในตำแหน่งพีอาร์(จูเนียร์)ในบริษัทแห่งหนึ่ง คำแนะนำผมในตอนนั้นก็คือ ดูราคาตลาดทั่ว ๆ ไปเขาได้กันเท่าไรก็ตามนั้นไปก่อน เพราะการเข้าทำงานในครั้งแรกนั้น ความสำคัญไม่น่าจะอยู่ที่ตัวเลขเงินเดือน เราน่าจะมองที่โอกาสซึ่งเปิดให้เราพิสูจน์ตัวเองและโอกาสที่เราจะได้เข้าไปเรียนรู้งานในสนามจริง
บางคนก็แย้งว่าหากเราเริ่มงานที่เงินเดือนต่ำการที่บริษัทจะเพิ่มเงินเดือนให้ในเวลาต่อมานั้น แม้จะขึ้นแต่ก็อยู่ในอัตราที่ช้ามาก ทำให้บางคนเมื่อทำงานไปสักพักจนเชี่ยวชาญพอสมควรก็มักจะออกไปสมัครงานที่อื่น เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะอัพเงินเดือนได้ในอัตราที่ทันใจ
เมื่อพูดถึงเรื่องเงินเดือนจึงมีเรื่องที่ต้องช่วยกันคิดมากมายหลายมุม แต่วันนี้ว่าจะมาชวนพวกเราเหล่ามนุษย์เงินเดือนมาช่วยกันคิดหน่อยว่า เราควรจะ
“ทำงานตามเงินเดือนที่ได้รับ” หรือ “ทำงานเกินเงินเดือนที่ได้รับ”

“ก็ได้เงินเดือนเท่านี้ ก็ทำเท่านี้แหละ” ประโยคที่ผมมักจะได้ยินน้อง ๆ และเพื่อนฝูงบางคนพูดกันบ่อย ๆ ได้เงินน้อย ก็ทำงานให้น้อยตามเงิน ดูเหมือนจะยุติธรรมดีแล้ว แต่คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมเงินถึงน้อย แล้วเมื่อคุณไม่พอใจจำนวนเงิน ทำไมถึงยอมตกลงทำงานให้กับเขาตั้งแต่แรก ทำไมไม่เจรจาเพื่อให้ได้เงินตามที่คุณต้องการ

“อ้าว ก็เมื่อสักครุ๋พี่ยังบอกให้ผมมองที่โอกาสนี่นา เงินเท่าไรไม่ใช่เรื่องใหญ่ในตอนเริ่มต้น แล้วตอนนี้จะมาบอกว่า ผมไปยอมเขาได้ยังไง”

“ก็ใช่ครับ ยอมรับเงินที่พอประมาณ (แม้ส่วนใหญ่คงรู้สึกว่ามันน้อย) แต่อย่างที่บอกไว้ให้จ้องไปที่โอกาสที่จะได้โชว์ฝีมือมากกว่า”

และเมื่อมีโอกาส การทำงานโดยยึดคติที่ว่า ทำงานตามเงินเดือน มันจึงเหมือนตัดโอกาสก้าวหน้าของตัวเอง ด้วยคำพูดประโยคนั้น มันเหมือนกับว่าคุณกำลังจะทำให้ทั้งคุณและบริษัทที่คุณทำงานด้วยจะไม่ก้าวหน้าไปไหน เสียหายทั้งสองฝ่าย

เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกว่าเรากำลังมีความรู้สึกว่า ทำงานตามเงินเดือน ผมรู้สึกว่ากำลังมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ควรที่จะต้องมีการจัดการอะไรสักอย่างเพื่อกำจัดความคิดแบบนั้นออกไปให้เร็วที่สุด
แล้วจะทำอย่างไรได้บ้าง

ถ้าเป็นผม ผมจะกลับมาสำรวจตัวเองก่อนว่า เราสมควรหรือยังที่จะได้รับค่าตอบแทน
มากกว่าที่กำลังได้รับอยู่ ฝีมือเราพัฒนาไปไกลกว่าเดิม ความสามารถเราตอนนี้เหนือกว่าเมื่อก่อนเยอะ
และนายจ้างเราเขาเห็นหรือเปล่า เพื่อให้แน่ใจว่านายจ้างเราเขารู้และเห็นพัฒนาการของเราหรือยัง ไม่มีวิธีใดที่จะชัดเจนเท่ากับการนั่งลงคุยกับเขา ถามเขาเลยว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ คิดว่าเรามีความสามารถที่จะช่วยบริษัทได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ เรามีประโยชน์ต่อองค์กรหรือไม่ การขอเพิ่มเงินเดือนอาจจะใช้วิธีขอรับผิดชอบงานในตำแหน่งที่สูงขึ้นไปก็ได้ เมื่อตำแหน่งสูงขึ้นต้องรับผิดชอบมากขึ้นก็เป็นเหตุเป็นผลที่จะได้รับเงินเพิ่มขึ้น
จะดีมากหากเรานำเสนอเขาเลยว่าให้เรารับผิดชอบตรงนั้นตรงนี้เพิ่มขึ้นน่าจะดีต่อองค์กร ผมหมายถึง นอกจากการจ้องจะขอเงินขึ้นเพียงอย่างเดียว ลองคิดวิธีที่เราจะเข้าไปช่วยทำ ช่วยสร้าง ช่วยเพิ่ม ตรงส่วนไหนได้อีกเพื่อให้องค์กรก้าวหน้าต่อไป บางทีไอเดียเราอาจจะไปปิ๊งเจ้านายเข้าโดยที่เขาอาจจะไม่เคยคิดไม่เคยมองเลยก็ได้ ในมุมของเจ้านายเขาก็จะเห็นว่าเรามีใจให้กับบริษัทจริง ๆ ไม่ใช่จ้องจะขอขึ้นแต่เงินเดือนโดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าจะทำอะไรให้บริษัทดีขึ้นบ้าง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมขอยกตัวอย่างเรื่องของตัวเองเป็นประสบการณ์ที่พบมาเมื่อหลายปีมาแล้ว
ผมเริ่มงานเป็น copywriter ในบริษัทโฆษณาทำไป 6 ปีตำแหน่งสุดท้ายคือ creative group head จากนั้น แกรมมีก็มาชวนไปทำงานในตำแหน่ง creative อีกนั่นแหละ ดูเหมือนผมน่าจะสบายใจเพราะงานที่จะไปทำมันก็เหมือนงานที่เคยทำ แต่ผมไม่ได้คิด
แบบนั้น ผมเห็นว่ามันแค่คล้าย ๆ กัน เพราะสินค้าเดิม ๆ ที่ผมทำนั้นมันไม่มีชีวิต มันเป็นสิ่งของ เป็นสบู่ ยาสีฟัน เป็นรถยนต์ แต่ที่แกรมมีผมไปทำครีเอทีฟก็จริงแต่สินค้ามันไม่ใช่สิ่งของมันเป็นคนและเป็นเพลง มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย เรื่องนี้ทำให้ผมไม่ค่อยมั่นใจตัวเองว่าจะไปทำได้ดีหรือไม่ แต่ใจนั้นอยากไปทำมาก ๆ เพราะ 9 ปีกับงานโฆษณามันเริ่มสร้างความตื่นเต้นและตื่นตัวให้ผมน้อยลงทุกวัน และอีกอย่างก็อยากได้เงินเพิ่มขึ้นด้วย แต่ด้วยความไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีผมจึงไม่ได้เรียกร้องเงินจากแกรมมีสูงมากนัก หากจำไม่ผิดผมขอเงินเพิ่มจากเดิมที่เคยได้รับเพียงสี่ห้าพันบาทเอง และผมก็บอกความคิดผมให้กับนายจ้างรับรู้ คือด้วยความที่ผมยังไม่มั่นใจตัวเองว่าจะทำได้ดี(แม้ว่านายจ้างดูจะมั่นใจมาก)ผมจึงขอเงินค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นจากที่เดิมเพียงนิดหน่อย แต่หากทำไปแล้วผมสามารถทำได้ดี ผมขอคุยเรื่องเงินอีกทีภายหลังนะ ซึ่งก็ตกลงตามนั้น
เมื่อเริ่มงานจะด้วยความชอบ ความตื่นเต้น หรืออะไรก็ตาม ผมทำได้ดี อัลบั้มแรกที่ดูแลประสบความสำเร็จอย่างดี เมื่อมีโอกาสผมก็คุยกับเจ้านายเกี่ยวกับเรื่องเงิน แล้วผมก็ได้รับมันมากเกินกว่าที่ตัวผมเองคาดหมายไว้ซะอีก
ผมจึงไม่เห็นด้วยจริง ๆ สำหรับคนที่กำลังทำงานตามเงินเดือน มันเสียเวลาครับ

ถ้าเป็นคุณล่ะ
pom_goodbooks@hotmail.com