Friday, January 26, 2007

Jimmy Webb


ตอนที่ผมยังเด็ก ผมเป็นคนที่คลั่งนิยายวิทยาศาสตร์มาก จิมมี่ระลึกความหลังให้ผมฟัง วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ผมอยู่ที่โบสถ์ พ่อผมเป็นพลวงพ่ออยู่ที่นั่น ผมนั่งค่อนไปทางข้างหลังของโบสถ์ในมือมีบทสวดแต่ใต้บทสวดคือ
นวนิยายวิทยาศาสตร์ พ่อผมกำลังยืนนำสวดอยู่ด้านหน้า เมื่อพ่อมองมาข้างหลังสายตาของพ่อคงมองเห็นพิรุธบางอย่างในตัวผม “จิมมี่ ลูกทำอะไรอยู่น่ะ ไหนออกมาข้างหน้านี่ซิ” ผมลุกเดินออกไปด้วยระยะทางที่ไกลพอสมควรทีเดียว “ยืนตรงนี้แล้วหันหน้าไปหาทุกคน” พ่อออกคำสั่ง “บอกกับทุกคนสิว่าแกอ่านอะไรอยู่”
ผมจำต้องพูดออกไปว่า “Martian Chronicles” ครับ
ด้วยสำเนียงโอคลาโฮมาที่นุ่มนวลและเนิบช้า ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าจิมมีกำลังพาเราเดินทางไปสู่เหตุการณ์บางอย่าง ทุกภาพที่เขาเล่าไม่ได้เพียงแค่รื้อฟื้นความทรงจำแต่มันนำเขากลับไปที่นั่นเลยทีเดียว และเช่นกันเพลงที่เขาเขียนก็นำผู้ฟังไปยังที่ๆเขาเล่าไว้ในบทเพลง
จิมมีเกิด 15 สิงหาคม 1946 ที่ เอลค์ ซิตี้(Elk City) โอคลาโฮมา ดินแดนที่สร้างสีสีนให้กับบทเพลงและความคิดแก่เขาอย่างมหาศาล เมื่อผมถามถึงที่มาของเพลง”Wichita Lineman” เขาบอกว่า ไอเดียมาจากโอคลาโอมานี่แหละ เมืองที่ใกล้ๆกับแคนซัส เมืองที่แบนราบ เวิ้งว้าง โดดเดี่ยว ไฮเวย์ที่ทอดยาวกับเสาไฟข้างถนนไกลจนสุดลูกหูลูกตา เขาเกิดและโตนี่นั่นตังแต่เด็ก และย้ายไปแอลเอกับครอบครัวเมื่ออายุ 18 ปี เริ่มต้นเป็นคนบันทึกเสียงเมื่อปี 1964 อายุ 21 จิมมี่ก็กลายเป็นคนแต่งเพลงที่โด่งดังคนหนึ่งของฮอลลี่วู้ด เขาเขียนเพลงดังหลายเพลง อย่างเช่นเพลง “By the Time I Got to Pheonix”ซึ่งร้องโดย จอห์นนี่ รีฟเวอร์(Johny Rivers) เพลง “Up Up and Away” โดย เดอะฟิฟ ไดเม็นชั่น (The Fifth Dimention) เกลน แคมเบล
(Glen Campbell) นักร้องที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้รับความสำเร็จเท่าที่ควรจนกระทั่งเขาได้นำเพลงของจิมมีมาขับร้องเช่นเพลง “Wichita Lineman” “Galveston” “Where the Playground,Susie” “By the Time I Get to Phoenix” “Honey Come Back” รวมถึงริชาร์ด แฮร์ริสซึ่งพาตัวเองถึงจุดโด่งดังสุดขีดด้วยเพลงที่กล่าวถึงสถานที่สำคัญของแอลเอ “MacArthur Park”
จิมมี่ไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักร้องเท่าไรเมื่อเทียบกับการเป็นนักแต่งเพลงของเขา อย่างไรก็ดีเขามีอัลบั้มที่ถือว่ายิ่งใหญ่ เริ่มต้นจาก “Words & Music” ในปี 1970 “Suspending Disbelief” ในปี 1993 และในปี 1996 กับอัลบั้มที่นักฟังเพลงไม่สามารถมองข้ามได้ “Ten Easy Pieces”

คุณได้ทำนองแต่ละเพลงมาจากไหน
จากหลายวิธี หลายทาง ผมเขียนเนื้อเพลงเยอะ ในสมัยก่อนผมแต่งเพลงในรถโดยที่ไม่ต้องมีเปียโน ผมร้องทำนองออกมา ร้องเนื้อเพลงออกมาในขณะที่ขับรถไปเรื่อยๆ นั่นเป็นครั้งเดียวมั๊งที่ผมทำได้อย่างนั้น การเขียนเพลงของผม บางครั้งก็ได้เนื้อร้องก่อน บางทีก็ได้ทำนองก่อน บางครั้งก็มาพร้อมๆกันเลยทั้งเนื้อร้องและทำนอง
สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดก็คือการได้จดไอเดียหรือเนื้อเพลงลงในสมุดบันทึก ผมจะมีสมุดโน้ตไว้บันทึกไอเดียเหล่านี้
ผมมักจะบันทึกเนื้อเพลงที่ยังคร่าวๆไว้ก่อน จากนั้นผมก็จะไปที่เปียโนและเริ่มต้นค้นหาทำนองและสร้างอารมณ์ให้กับเพลงๆนั้น เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วผมจะรู้ว่าตัวผมเองกำลังตามหาอะไร ผมจะรู้ว่ากำลังจะทำอะไรตั้งแต่ตอนที่เริ่มต้นเสมอ ผมไปไม่ถึงที่นั่นทุกครั้งหรอกนะ แต่ผมก็พยายามที่จะสร้างภาพเหล่านั้นออกมาในเพลงให้ชัดเจนที่สุด ภาพที่เพลงนั้นๆมันควรจะเป็น



ส่วนตัวแล้ว คุณมักเริ่มต้นจากเนื้อเพลงก่อน
มันเป็นเช่นนั้นบ่อยๆ ใช่ ผมชอบตั้งชื่อเพลง ผมชอบที่จะเริ่มต้นจากชื่อเพลง ผมชอบที่จะใช้ชื่อเพลงที่ดีนำทางผมต่อไปในการแต่งส่วนที่เหลือแม้บางครั้งมันอาจจะไปจบลงที่ชื่อเพลงอีกชื่อหนึ่งไปเลยก็ได้ ชื่อเพลงมักจะเป็นส่วนหนึ่งหรือวลีหนึ่งในเนื้อเพลงเสมอ ถ้าคุณเริ่มต้นจากอะไรที่ชัดเจนแบบนี้ ในเวลาที่คุณเขียนเนื้อเพลงโอกาสที่คุณจะโฟกัสในเรื่องนั้นๆได้ตรงขึ้นก็มีมากขึ้น โอกาสที่จะหลงไปทางอื่นก็น้อยลง ผมจึงชอบใช้วิธีนี้มากที่สุด

พูดถึงชื่อเพลง เพลง “The Moon’s a Harsh Mistress” คุณตั้งชื่อก่อน แล้วค่อยเขียนเพลงทั้งหมดหรือเปล่า
ชื่อเพลงนั้นมาจากจากเรื่องสั้นซึ่งเขียนโดย Robert A. Heinlein เรื่อง A Man Who Sold the Moon ผมชอบชื่อนั้นมากและมันติดอยู่ในใจผมตลอดมาเป็นปีๆ มันตามหลอกหลอนผม จนในที่สุดผมจึงต้องเขียนมันออกมาเป็นเพลง แต่โดยปกติผมจะไม่ค่อยใช้วิธีนี้ กรณีนี้เป็นกรณีพิเศษ การเอาชื่อของงานคนอื่นมาแต่งเพลง
แต่ผมก็ไม่อยากปกปิด เพลงไหนทำแบบนั้นผมก็เอามาเล่าให้ฟัง มันเกิดขึ้น นานๆครั้งจริงๆ

ผมรู้สึกทึ่งกับเพลงของคุณ ดูเหมือนว่าคุณมักจสร้างรูปแบบคอร์ด โครงสร้างคอร์ดแปลก และทำนองที่แปลกใหม่ คุณตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงความ”เก่า”และค้นหาสิ่งที่แปลกใหม่เหล่านั้น โดยตั้งใจหรือเปล่า
นั่นไม่ใช่เรื่องที่สนุกสำหรับผมเลย ผมไม่ได้ชอบเลย ผมเลือกที่จะตัดต้นไม้ยังสนุกซะกว่า แต่ทุกครั้งก่อนที่ผมจะเริ่มแต่งเพลง ผมจำเป็นจะต้องมีบางอย่างมารองรับคล้ายกับเท้าและขาของผม นั่นจะช่วยให้ผมรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้โครงสร้างที่ดีรองรับอยู่ และทำให้ผมกล้าที่จะเดินหน้าเพื่อเดินหน้าทำงานในขั้นตอนต่อๆไปในการเขียนเพลง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถทำได้หรือเปล่า ทุกครั้งที่ผมเริ่มนั่งลงและลงมือทำผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะทำได้เลย มันน่าหวาดเสียวมาก ดังนั้นก่อนที่ตัวผมเองจะบอกกับตัวเองว่าจะลงมือแต่งเพลงด้วยไอเดียใดก็ตาม ผมจะต้องมีโครงสร้าง ทางคอร์ดที่ดีรองรับเสียก่อนและเป็นทางคอร์ดที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผม นั่นถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสิ่งแรกเลยทีเดียวสำหรับผม

ถ้าอย่างนั้นคุณก็ใช้เวลามากกับการค้นหารูปแบบและโครงสร้างของคอร์ดโดยที่ยังไม่มีทำนองและเนื้อร้องเลย
ใช่

ในตอนที่คุณค้นหาคอร์ด มันช่วยให้คุณคิดทำนองได้ด้วย หรือว่า ต้องมาคิดทีหลัง
ผมจะเริ่มต้นทำงานจากการหาโครงสร้างของคอร์ดก่อนและหากผมพบโครงสร้างคอร์ดที่น่าสนใจมันก็จะช่วยสร้างทำนองที่น่าสนใจตามมา มันยากมากที่โครงสร้างคอร์ดที่ดีจะสร้างทำนองที่น่าเบื่อ โครงสร้างคอร์ดที่น่าสนใจจะช่วยทำให้ตัวทำนองของเพลงนั้นๆน่าสนใจโดยคาดไม่ถึง

โครงสร้างของเพลงควรจะต้องแตกต่าง โดดเด่น เช่นไร
ใช่ มันต้องโดดเด่นและแตกต่าง โครงสร้างของเพลงแบบ เวิร์ส คอรัส บริดจ์ เวิร์ส คอรัส เป็นรูปแบบโครงสร้างที่ใช้เขียนเพลงกันมาเป็นล้านๆเพลงแล้ว ผมรู้สึกว่าเราควรลืมโครงสร้างแบบนั้นไปได้เลย เรารู้อยู่แล้วว่าเพลงมันจะออกมาเป็นอย่างไร เรารู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

โครงสร้างเพลงที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เหมือนจะเป็นตัวจำกัดความคิดสร้างสรรค์ในการแต่งเพลง ?
ผมรู้สึกเบื่อเพราะผมจะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าเพลงมันจะออกมาเป็นยังไง ผมคิดว่าพวกเราในฐานะที่อยู่ในธุรกิจเพลงนี้พวกเราควรที่จะต้องสร้างความรู้สึกนี้ให้กับสังคมและคนรุ่นใหม่ ให้พวกเขารู้สึกประทับใจโดยเฉพาะพวกคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ที่พร้อมจะยอมรับทุกสิ่งที่แปลกใหม่ และตกใจกับเรื่องใหม่ๆตลอดเวลาอยู่แล้ว
โครงสร้างแบบเดิมนี้ ทำให้ผมเบื่อหน่าย แต่ผมเองก็จะไม่ออกอัลบั้มใหม่ของผมโดยการแต่งเพลงแบบอิสระอย่างที่ว่าหรอกนะ ผมไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพียงคนเดียว ผมก็มีปัญหาที่จะหาทางขายอัลบั้มของผมอยู่แล้ว คำถามก็คือ เราทำอย่างอื่นได้อีกหรือเปล่า มันมีอีกโลกอีกโลกให้เราพิชิตหรือเปล่า มันมีอะไรเหลือให้เราค้นพบอีกหรือไม่ มันมีอะไรอีกนอกจากที่มีอยู่ให้เราสำรวจรึเปล่า นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะถามพวกคุณ ผมคิดว่ามันยังมีจักรวาลแห่งความเป็นไปได้อยู่ข้างนอกนั่น

No comments: