Wednesday, November 08, 2006

"น้ำ"


ผมลืมไปแล้วว่าครั้งแรกที่ผมต้องจ่ายเงินซื้อ ”น้ำเปล่า” กินนั้น มันตั้งแต่เมื่อไรกัน จำได้แต่ว่าตอนเด็ก ๆ นั้นไม่ว่าจะไปกินก๊วยเตี๋ยวที่ร้านไหน หากสั่งน้ำแข็งเปล่าก็จะได้รับการบริการฟรี ไม่เสียเงิน ยกเว้นวันไหนมีตังค์เหลือก็สั่งน้ำอัดลมมากิน วันนั้นไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งข้างหน้า “น้ำเปล่า” จะมีราคาและนำมาขายได้ และขายดีซะด้วย เมื่อตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยม ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเดนมาร์ก เที่ยวบินนั้นต้องแวะค้างที่กรุงอัมมันประเทศจอร์แดนหนึ่งคืน ผมกับแม่ได้มีโอกาสแวะชิมอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เราสองแม่ลูกก็ลองสั่งอาหารพื้นบ้านของเขา ซึ่งเราทั้งคู่ไม่รู้จักสักรายการ อาศัยจิ้ม ๆ ในรายการอาหาร และสอบถามคร่าว ๆ ถึงเมนูนั้น ๆ พร้อม ๆ กับชำเลืองมองราคาไปด้วย ในหัวก็คำนวนออกมาเป็นเงินบาท เมื่อถึงเครื่องดื่ม ผมสั่งโคคา โคล่า แม่ขอน้ำเปล่า
เมื่อบริกรเดินจากไป ผมก็ยังคงหมกมุ่นอยู่กับเมนูเล่มนั้น เพราะไม่รู้จะไปสนใจอะไร จึงใช้เวลาไปกับการไล่สายตาไปบนรายการอาหารและดูราคาพร้อมคำนวณออกมาเป็นเงินบาท เมื่อไล่มาถึงน้ำเปล่า ก็ตกใจว่าน้ำเปล่ามามีในรายการอาหารและเครื่องดื่มด้วยหรือ และยิ่งให้ตกใจไปมากกว่านั้น ราคาของมันเมื่อคำนวณเป็นเงินบาทแล้วสูงมาก ผมจำราคาไม่ได้ แต่จำความรู้สึกตกใจในตอนนั้นได้ ขนาดน้ำเปล่ายังแพงขนาดนั้นแล้วโคคา โคลา ของผมมันจะราคาเท่าไรกันล่ะนี่ แต่แล้วก็ผิดคาด โคคา โคลา ของผมราคาถูกกว่าน้ำเปล่ามาก แม้กระทั่งเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ เบียร์ เหล้า ก็ราคาถูกกว่า นั่นอาจจะเกือบ ๆ 30 ปีมาแล้ว ความรู้สึกของผมตอนนั้นคิดว่าเมืองทะเลทราย น้ำคงหายาก จึงนำเอามาขายในราคาสูง ๆ ได้ สู้เมืองไทยเราไม่ได้ น้ำเปล่า (หรือที่เรียกกันติดปากเวลาไปกินตามร้านว่า”น้ำแข็งเปล่า”) นั้นให้ฟรี นั่นเป็นเรื่องมูลค่าของ”น้ำ”ที่เพิ่มมูลค่าขึ้นทุกวัน จนเราไม่ทันสังเกต
ผมเคยมีคำถามที่อยากรู้เกี่ยวกับ”น้ำ”มากมายหลายคำถาม เริ่มต้นตั้งแต่เรียนวิชาภูมิศาสตร์ที่ตำราสอนไว้ว่า แผ่นดินกับแผ่นน้ำนั้นมีสัดส่วน 1:3 หมายถึงว่าบนโลกเรานั้นมี่พื้นดินเพียง 1 ใน 3 ของพื้นน้ำ โตขึ้นมาผมจินตนาการคำถามกับตัวเองต่อไปว่าในอนาคตสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่ ก่อนหน้าที่สัดส่วนจะเป็น 1:3 นั้น สัดส่วนเคยเป็น 2:2 หรือไม่ แล้วผืนน้ำก็เพิ่มขึ้นเบียดให้ผืนดินเหลือเพียง 1 ส่วน หากเป็นเช่นนั้นในวันข้างหน้าผืนดินเราจะลดลงไปอีกหรือเปล่า จนในที่สุดโลกอาจจะเป็นน้ำทั้งหมดก็ได้ แล้วคำถามก็ได้รับคำตอบว่าเป็นไปได้เพราะน้ำแข็งที่ขั้วโลกมีโอกาสละลาย จนน้ำท่วมโลก แต่ผมก็ไม่ทราบว่ามันจะอีกนานแค่ไหน

คำถามที่ตามมาเกี่ยวกับ”น้ำ”ของผมก็คือ น้ำมีชีวิตจิตใจหรือเปล่า แล้วก็ดูเหมือนผมจะได้คำตอบเมื่ออ่านหนังสือเจอการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่ทำการทดลองและสรุปเอาไว้ว่าน้ำมีชีวิตจิตใจ มีอารมณ์ เขานำน้ำมาส่องกล้องดูผลึกของน้ำซึ่งก่อนส่องก็จะพูดคำเพราะ ๆ ให้น้ำฟัง แล้วนำมาส่องดูผลึก ๆ จะสวยงามมาก จากนั้นก็นำน้ำแก้วเดียวกันนั้นมาพูดคำหยาบคายต่าง ๆ นา ๆ ให้ฟัง ผลึกของน้ำจะดูน่ากลัว และยังทำการทดลองอีกหลาย ๆ วิธีผมจำไม่ได้ซะแล้ว ซึ่งก็ได้บทสรุปออกมาว่า”น้ำ” มีชีวิต จิตใจและมีอารมณ์
และยังเคยอ่านหนังสือพบว่า ถ้าคุณตื่นนอนตอนเช้าแล้วยังไม่ต้องแปรงฟันแต่ดื่มน้ำอุณหภูมิปกติให้ได้ในคราวเดียว 5 แก้ว จนเป็นนิสัยไปตลอด ร่างกายของคุณจะแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ระบบขับถ่ายและระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะทำงานได้อย่างดี ผมไม่ทราบว่าจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ลองดูก็ไม่เห็นจะเสียหาย เพราะอย่างไรเสียน้ำก็มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่ดี

ทุกวันนี้เมื่อเข้าร้านอาหารผมมักจะสั่งโค้ก เพราะราคาก็ไล่ ๆ กันกับน้ำ และตัวเองก็รู้สึกเอาเองว่า ในราคาที่ใกล้เคียงการดื่มน้ำอัดลมน่าจะคุ้มค่ากว่าน้ำเปล่า(คิดโง่ ๆ หรือเปล่าไม่รู้) นอกเสียจากบางครั้งที่รู้สึกว่าพุงตัวเองชักยื่น ๆ และอึดอัดก็จะสั่งน้ำเปล่า เพราะน้ำอัดลมนั้นมีส่วนทำให้พุงป่องอย่างแรง ถึงเวลานี้จึงอยากรู้นักว่าไอ้น้ำอัดลมนี่มันเข้ามาในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไรกันนะ เท่าที่จำได้เกิดมาผมก็เจอกับมันแล้ว และที่จำได้ลึก ๆ(หมายถึงถ้าไม่นั่งคิดจริง ๆ ก็อาจลืมไปแล้ว)ก็คือหนังโฆษณาของโคคา โคลา ซึ่งตอนนั้นผมน่าจะอายุไม่เกินแปด เก้าขวบ เป็นหนังโฆษณาที่ใช้เพลงเป็นตัวสื่อ มาค้นพบภายหลังว่าหนังโฆษณาชุดนั้นออกอากาศไปทั่วโลกในปี 1971 ชื่อเพลง
“I like to buy the world a Coke” แต่งโดย Roger Cook และ Roger Greenaway จากนั้นเพลงก็ฮิตและถูกนำมาแต่งเนื้อเพลงใหม่และขับร้องเพื่อการพาณิชย์โดยเฉพาะโดยวง The New Seekers และ The Hillside Singers โดยครั้งแรกนั้นวง The New Seekers นั้นไม่ว่างที่จะบันทึกเสียง วง The Hillside Singers จึงได้รับเลือกให้บันทึกเสียงและออกซิงเกิ้ลแรกไปก่อน แต่หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ The New Seekers ได้บันทึกเสียงและออกซิงเกิ้ลซึ่งนับเป็นเวอร์ชั่นที่ 2 และเวอร์ชั่นของThe New Seekers นี้เองที่พาให้เพลง “I like to teach the world to sing” ขึ้นสู่ top 10 บนชาร์ตของอเมริกา อาจจะนับได้ว่าเพลงโฆษณานั้นได้ช่วยโปรโมทให้เพลง ๆ นี้ดังล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เมื่อเพลงได้ถูกบันทึกออกมาเป็นซิงเกิ้ลจึงโด่งดังและได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว อิทธิพลจากทีวีเริ่มเข้ามามีบทบาทกับความนิยมของบทเพลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กระมัง
I’d like to teach the world to sing
I'd like to build the world a home
And furnish it with love
Grow apple trees and honey bees
And snow-white turtle doves

Chorus:
I'd like to teach the world to sing
In perfect harmony
I'd like to hold it in my arms
And keep it company
(that's the song i hear)
I'd like to see the world for once
(let the world sing today)
All standing hand in hand

And hear them echo through the hills
For peace throughout the land
That's the song i hear
(that's the song i hear)
Let the world sing today
(let the whole wide world keep singing)
A song of peace that echoes on
And never goes away

(repeat 1st stanza and chorus)

Put your hand in my hand
Let's begin today
Put your hand in my hand
Help me find a way

(repeat chorus til fade)

No comments: